การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 97 การประสาน
ตอนที่ 97 การประสาน
ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของผมหลังจากเห็นไฮดราชัดๆ เป็นครั้งแรก คงเรียกได้ว่ามันเป็นเหมือนมังกรซากศพ หรือจะเรียกว่าดราก้อนซอมบี้ก็ได้มั้ง
เกล็ดที่ปกคลุมร่างของมันเอาไว้ได้เปลี่ยนสีเป็นสีดำราวกับเลือดที่ปกคลุมร่างของมันเอาไว้ตอนแรกถูกสลายออกไปจนสิ้น จากความร้อนและพิษในร่างกายที่เดือดระอุของมัน
และถึงระยะห่างของผมกับมันจะไกลพอสมควร แต่กลิ่นโชยเน่าเหม็นก็ทะลุผ่านเข้ามายังจมูกผม แม้จะสวมผ้าศักดิ์สิทธิ์ปิดปากเอาไว้ ทางคราว โซราสก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความทรมาน
1 ในหัวทั้ง 8 ของไฮดราได้เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา เหมือนเป็นการบอกว่าตนรับรู้ได้ถึงการบุกรุก
มันจ้องมายังพวกผมด้วยดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างที่เต็มความเกลียดชัง ตอนแรกผมก็นึกอยู่หรอกว่ามันจะพ่นพิษหรืออะไรทำนองนั้นใส่พวกผม แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น มันแสดงท่าทีเพียงแค่เฝ้าระวังว่าพวกผมจะทำอะไรต่อไป หรือไม่ก็มันไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นเลย
ไม่ว่าจะกรณีไหน ผมก็คงต้องดูท่าทีของมันต่อไปด้วยเหมือนกัน
คอของไฮดราสูงเกินกว่ากำแพงของเมืองอิชกะไปพอสมควร ขนาดของมันหนาพอกับต้นไม้ที่มีอายุมากกว่าพันปี และพอมันมีถึง 8 หัว ขนาดลำตัวของมันที่รับรองหัวพวกนั้นจึงขนาดเท่าภูเขา
ขณะที่ผมมองไปยังร่างของมัน ก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าร่างของมันรับน้ำหนักขนาดนี้ได้ยังไง ถึงจะเป็นมอนสเตอร์อะไรก็เถอะ แต่ปกติถ้าขนาดร่างกายใหญ่โตมากเท่าไหร่ ส่วนล่างของมันก็ต้องรับภาระมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหากจะสู้กับตัวพวกนี้ เป้าหมายที่เหมาะสมในการเล็งก่อนก็ต้องส่วนขานี่แหละ
ทว่าวิธีการดังกล่าวไม่น่าจะใช้ได้ผลกับไฮดรา
นั่นก็เพราะส่วนที่ต่ำกว่าลำตัวของมันที่ควรจะเป็นขา มันจมอยู่ใต้พื้นดินหมดแล้ว
ไม่สิ จะให้เรียกว่าพื้นดินก็ไม่น่าจะได้แล้ว
เนื่องจากการปรากฏตัวของไฮดรา มันได้ทำการกัดกร่อนผืนดินจนกลายเป็นหนองที่ไร้ก้น และสิ่งมีชีวิตดังกล่าวก็กำลังเคลื่อนที่ไปมาราวกับกำลังว่ายน้ำอยู่ในหนองที่กำลังแผ่ขยายพื้นที่ออกไป
การกันกร่อนผืนดินด้วยพิษยังคงแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ แม้มองในมุมข้างบนฟ้าระดับความเร็วในการแพร่ของมันจะดูช้า แต่ถ้าผมได้มองมันจากบริเวณพื้นดินความเร็วของการแพร่นั้นคงประมาณความเร็วในการวิ่งของผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ความเร็วนั้นเองคือความเร็วในการกลืนกินผืนดินของไฮดราและความเร็วในการเคลื่อนไหวของมัน
ผมก็คิดหรอกนะว่าไฮดราอาจจะบินขึ้นมาจัดการกับพวกผมข้างบนก็ได้ แต่พอเห็นมันค่อยๆ ว่ายไปตามหนองพิษของมันเรื่อยๆ ก็ถือว่าอาจจะเป็นข่าวดีสำหรับผมในตอนนี้
แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำให้สถานการณ์ที่ผมเจอง่ายขึ้นแม้มันจะเคลื่อนไหวได้แค่บนพื้นดิน
หนองพิษขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นหลังไฮดราผ่านผืนดินไป ไม่สิผมควรจะบอกว่าเป็นทะเลมากกว่า ทะเลพิษนั้นค่อยๆ ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จนกลืนกินต้นไม้โดยรอบทั้งหมด
นั่นคือการอธิบายถึงความรุนแรงของพิษมันได้ดีเลย จนอาจจะบอกได้ว่าพิษที่กำลังแพร่กระจายออกไปเหมือนทะเล มีเจตจำนงของมันเอง
จากสิ่งที่เห็นในป่าทีทิสตอนนี้ซึ่งกลายเป็นทะเลพิษไปแล้ว เพียงแค่เพราะไฮดราต้องการเดินทางไปยังเมืองอิชกะ หากผมปล่อยให้มันเดินทางไปถึงที่นั่นได้ ถึงสุดท้ายผมจะสามารถจัดการมันได้ เมืองอิชกะก็คงไม่เหลือที่ให้คนอาศัยอยู่ในแน่
ไม่ใช่แค่เมืองอิชกะ แต่พิษมันจะแพร่กระจายลงไปยังแม่น้ำเคล ก็แปลว่าทั้งอาณาจักรคานาเรียก็คงจะไม่เหลือเหมือนกัน
อนาคตแบบนั้นไม่น่าชมเลยแฮะ
「นี่ คราว โซราสส่งแค่นี้ก็พอแล้ว」
「กิ้วว?!」
「กลับไปที่เมืองอิชกะซะ แล้วก็ไม่ต้องรอจะมาช่วยฉันทีหลังเข้าใจไหม เดี๋ยวฉันจะจัดเต็มด้วย หากนายมาอยู่ใกล้ๆ ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยด้วยสิ」
「……」
「คำตอบล่ะ!」
「พุกิ้ว!!」
「ดีมาก」
หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดกันเสร็จ ผมก็กระโดดลงจากหลังของมัน
ปกติแล้วหากเป็นคนธรรมดาความสูงระดับนี้คงไม่รอดหรอก แต่กับผมที่ใช้คิได้มันต่างออกไป ด้วยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผมจบการต่อสู้กับโกซุแล้วก็คนที่เหลือไปแล้ว
ในขณะที่ผมคิดอะไรพวกนี้อยู่ ดวงตาของไฮดราที่มองมาทางผมเริ่มเปล่งประกาย
ไฮดราอ้าปากกว้างแล้วเล็งมาที่ผมขณะที่ผมลอยลงพื้น
วินาทีต่อมา ลมหายใจสีแดงเข้มได้ถูกปล่อยออกมาจากปากของไฮดรา ดูจากสีและรูปร่างของมันแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าพิษที่เป็นของเหลวนั่นรุนแรงแค่ไหน
ของเหลวที่ปล่อยออกมาด้วยแรงดันสูงย่อมมีพลังในการทำลายล้าง จะไปว่ามันก็มีเวทน้ำที่สามารถสร้างแรงดันรุนแรงจนขนาดทำลายหิน ตัดโลหะได้อยู่เหมือนกัน แค่ของเหลวที่ปล่อยออกมามันก็มีแรงดันมากพอจะกดทับร่างของผมให้เละ ก่อนจะตายเพราะพิษเสียอีก
ลมหายใจของมันที่พ่นมาตรงมายังใบหน้าของผม ขนาดของมันใหญ่เหมือนกับกำแพงปิดตายสีแดง ไม่มีสถานที่ให้ผมหนีไปไหน นอกจากนี้ผมก็ลอยอยู่ในอากาศด้วย
ก็แปลว่าผมต้องรับมันเข้าไปตรงๆ
ก็จริงว่าผมจะตัดมันออกด้วยอาภรณ์วิญญาณก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่มีบางอย่างที่ผมอยากจะลองก่อน
มันคือสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากการต่อสู้กับโกซุ
อดีตผู้ดูแลของผมบอกกับผมว่าอาภรณ์วิญญาณเป็นเพียงแต่จุดเริ่มต้น มันคือดาบไม้ที่ทำหน้าที่ในการดึงเอาพลังของอนิม่าที่อยู่ภายในออกมาใช้
เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมคิดว่าผมสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้จากการเพิ่มเลเวลเท่านั้น เพราะแบบนั้นผมก็เลยพยายามใช้อาภรณ์วิญญาณในการฆ่าพวกมอนสเตอร์และกลืนกินวิญญาณของลูนามาเรียกับมิโรสลาฟอยู่บ่อยๆ
การดึงพลังภายในของอาภรณ์วิญญาณออกมาไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยคิดจะลองมาก่อน
เพราะสำหรับผม แค่โซลอีทเตอร์ในตอนนี้มันก็เป็นอาวุธที่ทรงพลังมากพอแล้ว
และพอผมคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเองมีอาวุธสุดแกร่งอยู่แล้ว ที่เหลือก็มีเพียงต้องเพิ่มเลเวลของตัวเองให้เหมาะสมกับมัน
ก็จริงว่าหากผมจะคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด
แต่ผมก็ได้เรียนรู้แล้วว่า แค่การเพิ่มเลเวลอย่างเดียวไม่มีทางจะทำให้ผมไปยังจุดที่สูงกว่านี้ได้
พอผมคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าคำใบ้มันปรากฏออกมาตั้งนานแล้ว
คำใบ้ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมได้รับมาก็คือวันที่ผมได้รับอาภรณ์วิญญาณ เหตุผลที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ แม้จะโดนกินแขน ขาและใบหน้าไปจนหมดแล้วในถ้ำราชาแมลงวัน
มันไม่ใช่พลังของใครอื่น แต่เป็นพลังของอนิม่าผมอย่างโซลอีทเตอร์ทั้งสิ้น
พลังในการฟื้นฟูเป็นปาฏิหาริย์ที่เทียบเท่าได้กับเวทฟื้นคืนชีพ พลังแห่งพระเจ้าที่มีเพียงพระสันตะปาปาจากนครศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้
พลังในระดับนั้นแหละคือสิ่งที่โซลอีทเตอร์สามารถใช้ได้อย่างง่ายดาย ก็หมายความว่าพลังของอนิม่าผมมันสุดยอดถึงระดับนั้นเลย
ผมรู้สึกขอบคุณในพลังนั้นจริงๆ แต่พอมาคิดผมก็ไม่เคยจะนำพลังนั้นมาใช้ให้เป็นของตัวเองจริงๆ มาก่อน
สิ่งที่ผมมอง ผมคิดแค่เพียงว่ามันคือพรเพียงครั้งเดียวที่เป็นของขวัญสำหรับการตื่นขึ้นของตัวผม
แต่ผมคิดผิด
พลังของโซลอีทเตอร์นั้นอยู่ในร่างของผมมาตั้งนานแล้ว มันไม่เคยปฏิเสธจะให้ผมยืมพลังของมัน จะมีก็เพียงแค่ผมนี่แหละที่ไม่พยายามสัมผัสถึงมัน
ก็จริงว่า ตอนที่สู้กับโกซุผมพยายามจะเอื้อมมือเข้าไปคว้ามันมาใช้ จนทำให้ผมสามารถเอาชนะโกซุได้ สิ่งนั้นได้มอบพลังให้กับผมตามที่ผมร้องขอพอถึงช่วงวิกฤติ
แต่สำหรับครั้งนี้ ผมจะพยายามใช้พลังนั้นด้วยความตั้งใจของตัวเอง ไม่ใช่ดึงมันออกมาในยามที่สิ้นหวังเหมือนที่แล้วๆ มา
ผมรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้มันมา
ก็จริงว่ามันไม่ใช่การเข้าถึงเขตแดนแห่งความว่างเปล่าเหมือนที่โกซุบอก ผมที่เลเวลแค่ 12 ไม่มีทางจะพร้อมเข้าไปยังเขตแดนนั้นได้
สิ่งที่ควรมองไปไม่ใช่จุดสูงสุด แต่เป็นจุดที่ต่ำที่สุด จุดที่ผมเคยยืนในอดีตจุดเริ่มต้นตอนที่ผมยังเป็นแค่เลเวล 1
――ณ ที่แห่งนี้ การประสาน….เสร็จสิ้นแล้ว
การประสานที่ว่ามันคือการประสานร่างกายกับจิตใจของผมรวมกันเข้ากับอนิม่า เพื่อดึงพลังของมันออกมาได้ดียิ่งขึ้น
“จงกลืนกินทุกสิ่ง” นั่นคือความรู้สึกที่ผมได้รับจากการประสาน
หากไม่ระวังให้ดี อนิม่าของผมคงจะกลืนกินร่างกายของผมเข้าไปแทน แต่ก็น่าแปลกที่ถึงจะรู้แบบนั้น ผมกลับไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิด
ในอดีตครั้งนั้นคือครั้งเดียวที่ผมสัมผัสได้จึงเจตนาจริงๆ ของโซลอีทเตอร์และก็เพราะแบบนั้นผมจึงจำได้ดีถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เสียงที่เข้ามาดุผม ที่กำลังยอมแพ้ในการชีวิต
เสียงคำรามที่ดุดัน พร้อมกับกล่าวให้ผมกลืนกินทุกสิ่งเสีย
รอยยิ้มที่ทรงพลังซึ่งแสดงให้ผมเห็นขณะพิงอยู่บนต้นโอ๊กโดยมีฉากหลังเป็นดินแดนรกร้างที่ไม่รู้จัก
――พวกเรามี…จุดกำเนิดแบบเดียวกัน
อาภรณ์วิญญาณของผมกำลังกู่ร้อง ร่างกายของผมกำลังถูกเผาไหม้ คิของผมกำลังสั่นสะท้าน
พลังที่อยู่ภายในร่างกายของผมได้เอ่อล้นออกมาทางปาก
การระเบิดของพลังคิ
มันคือเทคนิคการใช้คิพื้นฐาน ที่ปลดปล่อยพลังคิออกมาทางปาก
แต่ความรุนแรงของผมที่ใช้มันตอนนี้ คงเทียบได้กับลมหายใจมังกร
มันกลายเป็นการปะทะกันของมังกรทั้งสอง นั่นคือความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ทันทีที่ลมหายใจมังกรของผมกับมันปะทะกัน
ด้วยความรู้สึกแบบนี้แหละ ผมได้อ้าปากกว้างละปลดปล่อยออกมา
「ฮ่าาาาาา!!!」
ผมปลดปล่อยลมหายใจตัวเองออกมาปะทะลมหายใจของไฮดราที่ใกล้เข้ามา
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code