กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 103 ความริษยาของชายหนุ่ม (1)
เขาเงยหน้าทอดมองท้องฟ้า คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำ
ซูหลีได้ยินก็ตกใจ สูดหายใจตามอย่างไม่รู้ตัว อดไม่ได้ที่จะถาม “ใครช่วยท่านไว้หรือเพคะ?”
“ไม่มีผู้ใดช่วยข้า ข้าว่ายขึ้นมาจากทะเลสาบน้ำแข็งนั่นเอง!” กลีบปากที่รอยหยักโค้งเด่นชัดกระตุกยิ้มเบาๆ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันไร้ความอบอุ่น
ซูหลีอดปวดใจไม่ได้ การดิ้นรนจากความเป็นความตายเช่นนั้น เขาอาจเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายไม่มีสิ่งใด แต่เพียงนึกดูก็รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าในยามนั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่นอน
“ท่านอ๋อง…เด็กขนาดนั้นก็ว่ายน้ำเป็นแล้วหรือเพคะ?” นางตกตะลึงมาก ยามห้าขวบ นางยังซุกตัวออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของเสด็จพ่อ ยังไม่รู้ว่าจิตใจของผู้คนนั้นชั่วร้ายเพียงใด และไม่รู้ถึงความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “ตอนข้าสามขวบ ข้าเห็นพี่ชายคนหนึ่งของข้าถูกคนผลักตกบ่อน้ำจนตายเข้าโดยไม่ทันระวัง ฉะนั้นข้าไม่เพียงเรียนรู้วิธีว่ายน้ำ ยังเรียนวิชาปิดปราณจนชำนาญอีกด้วย เรื่องนี้นอกจากข้าและเสด็จแม่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ ฉะนั้นข้าจึงรอดจากเหตุการณ์ครานั้นมาได้”
ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าเขาจึงอยู่ใต้น้ำได้นานขนาดนั้น! ซูหลีทอดถอนใจยาวๆ คิดมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว แม้อายุน้อยกลับมีความคิดอ่านลึกล้ำสุดหยั่งถึง ไม่เคยรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนผ่านการเคี่ยวกรำมาเช่นนี้! นางเองก็ควรหาโอกาสเรียนรู้วิธีว่ายน้ำ เพื่อเอาชนะจุดอ่อนของตนเองให้ได้
ตงฟางเจ๋อเอ่ยต่อ “นับจากนั้น เสด็จแม่ก็ได้เข้าใจสัจธรรมข้อหนึ่ง อยู่ในวังหลัง หากไม่ได้รับความคุ้มครองจากคนผู้นั้น ก็ทำได้เพียงยอมกล้ำกลืนฝืนทนตลอดไป และนั่นก็จะทำให้เสด็จแม่ของข้าแม้ตายก็ไม่เหลือกระดูกอยู่ในพระราชวังอันโหดร้ายแห่งนั้น! ฉะนั้นนางจึงเริ่มหาหนทางดึงพระทัยเสด็จพ่อกลับมา และข้าก็พากเพียรเล่าเรียนฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างหนัก หวังว่าตนเองจะแข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ สามารถปกป้องเสด็จแม่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นอีก แต่ว่า…สุดท้ายนางก็จากไปโดยไม่รอให้วันนั้นมาถึง!”
น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูราบเรียบเย็นชา แต่ความเจ็บปวดและความเสียใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ กลับเอ่อล้นออกมาทางดวงตาลึกล้ำคู่นั้นอย่างปิดไม่มิด ส่งผลให้ค่ำคืนในคิมหันตฤดูถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโศกเศร้าและเจ็บปวด
ซูหลีไม่เคยเห็นตงฟางเจ๋อในด้านนี้ แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะมีด้านนี้ด้วย ทว่ายิ่งเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเพียงใด ครั้นความเจ็บปวดของเขาเอ่อล้นออกมา ก็ยิ่งส่งอิทธิพลต่อคนข้างกายได้ง่ายดายเท่านั้น ซูหลีมองดูเขา ก็คล้ายมองเห็นตัวเองที่มักเดียวดายในแต่ละค่ำคืน ทุกครั้งที่คิดถึงเสด็จแม่ นางก็เจ็บปวดและโทษตนเองเช่นนี้เสมอ
ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีการหลั่งน้ำตาจากคนหัวอกเดียวกัน นางเพียงมองเขาเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ไม่ทำอะไรสักอย่าง นางรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการ คือใครสักคนที่คอยรับฟังและอยู่เคียงข้างเขาเงียบๆ เท่านั้น ไม่ต้องก้มหน้านางก็มองเห็น เงาร่างอันอ้างว้างของเขาถูกแสงจันทร์ทอทับและทอดเงาอยู่บนพื้น เหมือนนางที่โดดเดี่ยวจนไม่อาจมีผู้ใดเข้าใจในแต่ละค่ำคืน
บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
ตงฟางเจ๋อเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงพูดเรื่องเหล่านี้กับนาง เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยความรู้สึกและเรื่องราวในอดีตของตนเองให้ผู้อื่นรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับมารดาของตนเอง ครั้นเขาหันหน้ามา ก็สบเข้ากับสายตาแฝงแววปวดใจและเห็นใจราวกับเป็นเรื่องตนเองของสตรีตรงหน้า หัวใจเขาสั่นสะท้านไปทั้งดวง ความเจ็บปวดและเปรี้ยวฝาดพรั่งพรูออกมาพร้อมกับความรู้สึกอิ่มเอมเล็กๆ ท่วมท้นหัวใจที่เคยปิดสนิทของเขาในพริบตา
ได้แต่ยิ้มอย่างไร้เสียง
ในค่ำคืนนี้ คล้ายไม่ได้มืดมิดเหมือนแต่ก่อนอีก บาดแผลบนกายเขา ก็เหมือนจะไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว
แสงจันทร์สาดกระทบร่างของทั้งสองอย่างสุดจิตสุดใจ ลำแสงสีเงินยวง ราวกับถูกอากาศร้อนในคิมหันตฤดูเติมไออุ่นชวนให้หลงไหล เขากุมมือนางเบาๆ ทั้งสองรอให้ฟ้าสางไปพร้อมๆ กัน ทว่าในใจกลับไม่อยากให้ท้องฟ้าสว่างเร็วขนาดนั้น
ยามแสงแรกของวันใหม่อาบไล้มาทางทิศตะวันออก ซูหลีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่นางหลับไปในอ้อมแขนของเขา เมื่อเงยหน้า ก็มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋ออยู่ใกล้เพียงคืบ ดวงตาหลับสนิท ใบหน้าซีดขาวจนแทบโปร่งแสง เมื่อคืนเขาเล่าเรื่องราวมากมาย ใช้แรงไปมาก ซูหลีรู้ว่าเขาบาดเจ็บไม่เบา จำเป็นต้องหาหนทางกลับไปบ้านพักตากอากาศเพื่อรับการรักษาโดยเร็ว
นางตบหน้าเขาเบาๆ เพิ่งจะสัมผัสถูกแก้ม ก็พลันถูกเขาโอบกอด
“อ๊ะ!” ซูหลีหวีดร้องตกใจ
“ตื่นแล้วหรือ?” เขากระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหู แผ่ความอบอุ่นหยอกเย้าหัวใจผู้คน
“อืม” ซูหลีหันหน้าหนีอย่างเก้อเขิน “ฟ้าสางแล้ว พวกเรารีบหาทางไปจากที่นี่กันโดยเร็วเถิดเพคะ”
“ดี” นัยน์ตาดำขลับของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านางตลอดเวลา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น
ซูหลีประคองเขาอย่างระมัดระวัง เริ่มมองพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบด้าน ที่นี่คือหุบเขาแคบและยาวเส้นหนึ่ง ห่างออกไปไม่ไกลมีทะเลสาบเล็กๆ อยู่หนึ่งแห่ง สะท้อนประกายวิบวับอยู่ภายใต้แสงยามรุ่งอรุณ ทางทิศตะวันออกพื้นค่อนข้างเรียบ น่าจะมีเส้นทางออกไปจากที่นี่
“ไปทางทิศตะวันออก” ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเบาด้วยความมั่นใจ เขากับนางกลับคิดเหมือนกัน ซูหลีใจเต้นเร็วอย่างไม่รู้สาเหตุ นางพลันค้นพบว่าหลังผ่านเรื่องราวเมื่อคืนมาด้วยกัน บุรุษข้างกายนางผู้นี้ไม่ใช่ตงฟางเจ๋อผู้ที่ไม่มีสิ่งใดสอดคล้องเชื่อมโยงกับตนเองอีกต่อไปแล้ว
เว่ยซู่กับเขาเป็นศัตรูกัน ด้วยศักดิ์ศรีของเขา ไม่มีทางทำเรื่องอย่างการสังหารหลีซูได้แน่นอน! ซูหลีบังเกิดความรู้สึกในใจนับร้อย เดี๋ยวยินดีเดี๋ยวกังวล ยินดีที่เขาไม่ใช่คนที่ทำร้ายตนเองจริงๆ กังวลที่เบาะแสขาดหาย หากต้องการพลิกคดี ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
ทั้งสองค่อยๆ เดินไปยังทิศตะวันออก ตงฟางเจ๋อใบหน้าตึงเกร็ง ครั้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็จำต้องหยุดพัก ซูหลีปาดเหงื่อ “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? มิสู้ท่านอ๋องรออยู่ที่นี่ หม่อมฉันจะไปเรียกคนมา!”
เขาพลันกระชับเอวนางแน่น ทิ้งน้ำหนักลงบนตัวนาง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว ซูซูวางใจทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวหรือ?” น้ำเสียงราบเรียบ แต่ซูหลีกลับสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเล็กๆ และความกังวลเลือนรางที่แฝงอยู่
นางเกร็งเอวโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับไม่ใจแข็งพอที่จะผลักเขาออก “เช่นนั้นพวกเราค่อยๆ เดินเถิดเพคะ”
เดินอย่างนั้นอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม กว่าทั้งสองจะค่อยๆ เดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากหุบเขา ทางเดินใหญ่ๆ เส้นหนึ่งปรากฏอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้าพวกเขา ซูหลีร้องขึ้นอย่างดีใจ “ดีเหลือเกิน เจอถนนแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงกีบเท้าม้าก็ดังมาจากเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มหนึ่งควบตะบึงม้าเข้ามาจากที่ไกลๆ บุรุษที่อยู่ด้านหน้าสุด ใบหน้าเคร่งขรึมน่ากลัว ทว่าสีหน้ากลับกระวนกระวาย ห้อตะบึงม้าพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง เขาเหลียวซ้ายแลขวา สายตาร้อนรนตึงเครียด เห็นชัดว่ากำลังตามหาคน
ครั้นซูหลีเห็นเขา สายตาก็พลันเย็นชาทันที ผู้มาก็คือตงฟางจั๋ว ผู้ที่ซัดพวกเขาทั้งสองตกจากเนินเขาเมื่อคืนนั่นเอง!
เขายังรู้จักพาคนมาตามหาพวกเขา!
“นั่นคุณหนูรองกับเจิ้นหนิงอ๋อง!” มีเสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้น ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันเปลี่ยน หันมาก็เห็นพวกเขาสองคนเดินประคองกันมาแต่ไกล เหมือนคู่รักที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน แลดูปรองดองถึงเพียงนั้น ความดีใจอันท่วมท้นที่เพิ่งจะบังเกิด ถูกความอิจฉาและเกลียดชังอันรุนแรงเข้ามาแทนที่ทันที ทว่าในพริบตาเดียว เขากลับข่มกลั้นอารมณ์ที่รุนแรงเช่นนี้เอาไว้อย่างสุดชีวิต
ตงฟางเจ๋อกวาดมองเงาร่างตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ฝีเท้าชะงัก คล้ายไม่อาจยืนหยัดอีกต่อไป เขาพาดแขนบนไหล่สตรีข้างกาย ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปทางนาง
ซูหลีรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้ง เกือบจะล้มลงไปพร้อมกับเขา นางรีบยื่นมือออกไปรั้งเอวเขาไว้แน่น จึงค่อยยืนได้อย่างมั่นคงในที่สุด ก่อนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ท่านอ๋องไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ? มีคนมารับพวกเราแล้ว ท่านอ๋องอดทนอีกนิดนะเพคะ”
……………………………………………………….