กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 105 ความริษยาของชายหนุ่ม (3)
ตงฟางจั๋วชะงักฝีเท้า หันกลับมาตวาดเสียงดังลั่น “ข้าไม่ปล่อย!” สายตาบ้าคลั่ง รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเจ็บปวด ราวกับเด็กน้อยที่สิ้นไร้หนทาง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเชือกฟางซึ่งเป็นเหมือนทางรอดสุดท้ายในชีวิต
ซูหลีถูกบีบจนเจ็บข้อมือ จ้องหน้าเขาอย่างเย็นชา ในใจรู้ดีว่ายามนี้พูดอะไรกับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงดื้อดึงไม่เอ่ยวาจา ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน เงียบงันไร้เสียง
ผ่านไปนาน ครั้นเห็นนางไม่ขัดขืน ตงฟางจั๋วจึงคลายมือเล็กน้อย
เขาแรงเยอะมากจนน่าตกใจ ซูหลีไม่ต้องดูก็รู้ ข้อมือนางต้องเขียวช้ำเป็นรอยแน่นอน นางออกแรงดึงมือกลับ หันหน้าหนีก่อนเอ่ยเสียงเย็นชา “หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องใด ซูหลีขอตัวก่อนเพคะ” กิริยานอบน้อมมีมารยาทไร้ที่ติ ทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ซูหลีก้าวถอยอย่างระมัดระวังหลายก้าว ก่อนจะเดินผ่านเขา ขณะที่นางเดินผ่านเขาไป กลับถูกเขากอดอย่างแรง นางดิ้นขัดขืนหลายหน ทว่าอ้อมอกแข็งแรงดั่งห่วงเหล็ก จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธเกรี้ยว “ท่านจะทำอะไรกันแน่?”
ตงฟางจั๋วกอดนางแน่น ไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง คล้ายกำลังตัดสินใจเรื่องที่ยากมาก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเปิดปากอย่างยากลำบากด้วยเสียงแหบพร่า “ซูเอ๋อร์ เจ้า…อย่าหลบหน้าข้าอีกได้หรือไม่? เจ้ากับน้องหก…ทำให้ข้าทรมานเหลือเกิน ข้าต้องทำเช่นไร เจ้าจึงจะปฏิบัติต่อข้าเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อเขา?”
ซูหลีชะงักงัน ในน้ำเสียงของตงฟางจั๋วเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาโอหังอวดดี กำเริบเสิบสาน ตั้งตนเป็นใหญ่ และมักเอาความต้องการของตนเองยัดเยียดให้ผู้อื่นเสมอมา แล้วเหตุใดจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นนี้?
ซูหลีเงยหน้า เห็นใบหน้าเจ็บปวดของเขาไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำสักนิด นี่เป็นวาจาที่เอ่ยออกมาจากใจของเขาแน่นอน
“ท่านอ๋องอยากรู้จริงหรือเพคะ?” ซูหลีย้อนถามทันที
ตงฟางจั๋วสะดุดกึก เห็นชัดว่าเหนือความคาดหมาย เขาก้มหน้ามองนางอย่างละเอียด หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ แต่ก็มีความกระวนกระวายใจปะปนอยู่ด้วย “ซูเอ๋อร์ เจ้ายอมให้โอกาสข้าจริงหรือ?” แม้เขานิสัยใจร้อนวู่วาม แต่ไม่ได้โง่เขลาสักนิด ซูหลีไม่ได้รู้สึกดีกับเขามากนัก มักรักษาระยะห่างและมีท่าทีเย็นชากับเขาเสมอมา เหล่านี้เขารู้ดีแก่ใจ เดิมทีนึกว่าจะสามารถฉวยโอกาสจากพิธีคัดเลือกพระชายาทำให้ตนเองได้สิ่งที่ต้องการ กลับนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นนั้นขึ้น
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของนางนับวันยิ่งยากแท้หยั่งถึง ทุกคราที่พบหน้าล้วนทำให้เขาหวาดกลัวมากขึ้น ไม่รู้ควรทำตัวเช่นไร
ประโยคนี้เมื่อซูหลีได้ฟัง กลับเสียดสีแทงใจเป็นพิเศษ โอกาส…ยามนี้ท่านกลับมาถามหาโอกาสจากข้า? ตงฟางจั๋ว กลัวเพียงว่าท่านจะไม่มีวันรู้ตลอดกาล แรกเริ่มเดิมทีคนที่มีสิทธิ์อยู่เคียงข้างข้าและใช้ทั้งชีวิตร่วมกันกับข้ามากที่สุด ก็คือท่าน…
และอนาคตอันแสนงดงามนั้น ก็ถูกหนังสือหย่าที่ท่านเขียนขึ้นเองกับมือทำลายจนสิ้นเช่นกัน แต่ยามนี้ท่านกลับกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อมาขอคืนดี เพื่อใครกันเล่า? เพราะรู้สึกผิดต่อหลีซู? หรือเพราะรักซูหลีเข้าแล้วจริงๆ?
นางไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเขาได้ ความเจ็บปวดพรั่งพรูในใจ แพขนตาดกดำหลุบต่ำลงช้าๆ เก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้อย่างมิดชิด
ตงฟางจั๋วเห็นนางไม่ตอบ อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวาย กลัวว่านางจะกลับคำ จึงเรียกอย่างร้อนใจ “ซูเอ๋อร์!”
ซูหลีสายตาพลันแปรเปลี่ยน ม่านตาดำขลับค่อยๆ เงยขึ้นจ้องหน้าเขาอย่างเฉยชา
ความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว! สายตาเช่นนี้ บริสุทธิ์และแจ่มชัด มองแวบแรกราวกับสามารถมองเห็นก้นบึ้ง แท้จริงกลับไม่อาจหยั่งรู้ได้ เหมือนดั่งมหาสมุทรที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึง สงบนิ่งจนทำให้เขาแทบคลั่งทุกครั้ง
ตงฟางจั๋วร้อนใจอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง ขณะกำลังจะอ้าปาก ก็ได้ยินนางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง อยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น เกรงว่าคงมิเคยเข้าใจ โอกาส…คือสิ่งที่คนมีใจไขว่คว้าเพื่อจะให้ได้มันมา มิใช่สิ่งที่รอคนอื่นหยิบยื่นมาให้” ในน้ำเสียงที่ดูเหมือนสงบนิ่งของนางมีแววเปรี้ยวฝาดที่อธิบายไม่ถูกผสมอยู่ด้วย
ตงฟางจั๋วยืนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานก็ยังไม่เอ่ยคำใด รู้สึกเพียงคนในอ้อมกอดค่อยๆ ดันตนเองออก กระทั่งอ้อมกอดอันอบอุ่นกลายเป็นว่างเปล่า
ซูหลีหมุนกายเดินจากไปอย่างแผ่วเบา
กลับมาถึงเรือนทิศใต้ โม่เซียงปรนนิบัติอาบน้ำให้นางอย่างกุลีกุจอ จากนั้นก็ยกสำรับอาหารเข้ามา ซูหลีนั่งอยู่บนฟูกนิ่ม หลับตานั่งทำสมาธิ ไร้ความอยากอาหาร
“คุณหนู เข้านอนทั้งที่ท้องว่างส่งผลเสียต่อสุขภาพที่สุด อย่างไรก็กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยพักเถิดเจ้าค่ะ ได้ยินว่าเหล่าท่านอ๋องและคุณหนูล้วนชอบอาหารป่าจานนั้น พ่อบ้านจึงตั้งใจให้ฝ่ายครัวเตรียมไว้เป็นพิเศษด้วยนะเจ้าคะ” โม่เซียงเดินเข้ามาประคองซูหลี พร้อมเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างหวังดี
ซูหลีพลันสะดุด คีบผักป่าเส้นหนึ่งขึ้นมาดมกลิ่น กลิ่นนั้นเหมือนกับเมื่อคืนทุกประการ ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย หลังอาหารมื้อค่ำเมื่อวานนางกลับเรือนไปได้ไม่นาน เซิ่งฉินก็มารายงานว่าตงฟางเจ๋อเชิญให้ไปพบ ระหว่างนั้นนางไม่ได้กินอะไรอีก และอาการผิดปกติในร่างกายนาง ก็เกิดขึ้นตอนที่ไปถึงสระน้ำพุร้อนแล้ว
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ “เรียกพ่อบ้านมาพบข้า”
โม่เซียงรับคำทันที ไม่นานซูฮู่ก็เข้ามาในห้อง
“เมื่อคืนจิ้งอันอ๋องออกจากบ้านพักตากอากาศยามใด?” ซูหลีมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ซูฮู่ผู้นี้เข้ามาในจวนอัครเสนาบดีตั้งแต่อายุได้แปดปี เดิมทำงานเกี่ยวกับการซื้อขาย ลักลอบยักยอกเงินทั้งในและนอกไปไม่น้อย หนึ่งปีก่อนเรื่องแดงขึ้นมา ร่ำไห้คุกเข่าอ้อนวอนอยู่สามวันสามคืน ฮูหยินจึงส่งเขามาทำงานในสถานพักร้อนอันทุรกันดารแห่งนี้
“คุณหนูออกจากบ้านพักตากอากาศไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม จิ้งอันอ๋องก็มาตามหาคุณหนูที่นี่ หลังจากที่รู้ว่าคุณหนูไปหลังเขา ท่านอ๋องจึงไปตามหาขอรับ” ซูฮู่รายงานด้วยเสียงนอบน้อม ก้มหน้าต่ำ สีหน้ากลับเรียบขรึม
ซูหลีคลี่ยิ้มบาง ก่อนพึมพำ “อ้อ เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนั้น แม้แต่พี่สาวก็ยังตามไปสมทบด้วย!”
“คุณหนูใหญ่ นาง…บางทีอาจอยากไปแช่น้ำพุร้อนกระมังขอรับ” ซูฮู่สะดุดไปเล็กน้อย ทว่าช่วงเวลาที่เขาสะดุดไปเพียงสั้นๆ กลับไม่ได้เล็ดลอดสายตานางไป
“ผู้ใดรับใช้อยู่ที่เรือนของคุณหนูหลี?” ซูหลีแสร้งทำเป็นยกชาขึ้นดื่มหนึ่งอึก
ซูฮู่รีบกล่าว “เป็นเฉี่ยวเอ๋อร์ขอรับ คืนเมื่อวานคุณหนูหลีพักผ่อนแต่หัวค่ำ คงเพราะเดินทางมาเหนื่อย”
ซูหลีพลันหรี่ตา รีบลุกขึ้นกล่าวว่า “เจ้ากลับไปเถิด อาหารป่าจานนี้ไม่เลว แต่จะกินทุกวันไม่ได้ เปลี่ยนเป็นจานอื่นบ้าง”
ซูฮู่สีหน้าสะดุด รีบถอยหลังออกไปอย่างนอบน้อม ซูหลีเห็นเขาหายลับไปนอกประตูแล้ว จึงค่อยส่งเสียงเรียก “โม่เซียง! ตามข้าไปดูเจิ้นหนิงอ๋อง”
ขณะที่นายบ่าวทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องโถงด้านหน้า ตงฟางเจ๋อเพิ่งลุกขึ้น สีหน้ายังซีดขาวเล็กน้อย แต่อาการโดยรวมดีขึ้นมาก บนโต๊ะมีอาหารบำรุงวางอยู่เต็มไปหมด รวมถึงอาหารป่าจานนั้นด้วย ฟางเอ๋อร์กำลังยืนจัดอาหารให้เขาอยู่ด้านหนึ่ง ครั้นเห็นซูหลีก็รีบค้อมกายทำความเคารพ
ตงฟางเจ๋อสายตาอ่อนโยนขึ้นมาทันที ยิ้มบางกล่าวว่า “ซูซูมาแล้วหรือ พอดีเลย ร่วมมื้ออาหารด้วยกันเถิด”
ซูหลีเองก็ไม่เกรงใจ นั่งลงข้างกายเขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ? อาหารป่าเป็นของชั้นต่ำ จะให้ท่านอ๋องเสวยของอย่างนี้ทุกวันได้อย่างไรกัน?”
พูดไป ซูหลีก็ส่งสายตาให้เขาคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ตงฟางเจ๋อพลันกระจ่าง เอนหลังกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน กล่าวเสียงราบเรียบ “อาหารบ้านป่าชนบท แม้ไม่อาจเทียบกับอาหารในพระราชวังได้ แต่กลับมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เหตุใดซูซูจึงไม่ชอบอาหารจานนี้เล่า?”
ซูหลียิ้มกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงโปรดก็ดีแล้วเพคะ ทว่าท่านอ๋องเพิ่งหายป่วย อย่างไรก็ต้องระวังเรื่องอาหารเป็นพิเศษ เด็กๆ ยกอาหารป่าจานนี้ออกไปเสีย ทำจานใหม่มาถวายท่านอ๋อง”
……………………………………………………….