กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 108 แผนการของฮูหยิน (3)
ซูชิ่นพลันนึกอิจฉาจนดวงตาแดงก่ำ นางเด็กคนนี้มีดีตรงที่ใดกันแน่? ท่านอ๋องทั้งสองถึงได้เอาใจนางถึงเพียงนี้! ส่วนหลีเหยาเพียงเบนสายตามองออกไปนอกรถเงียบๆ ราวกับมองไม่เห็นสิ่งใด
ภายใต้สายตาของทุกคน ซูหลีจนใจ ทำได้เพียงรับไว้ โชคดีที่ตงฟางจั๋วเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความ ครั้นมอบให้นางแล้วก็กระโดดขึ้นม้า จากนั้นทุกคนก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
กลับมาถึงจวนอัครเสนาบดี ซูเซียงหรูยังไม่กลับจากราชสำนัก ในยามเที่ยงวัน ซูหลีกำลังร่วมโต๊ะกินมื้อเที่ยงกับสองแม่ลูกสกุลซูอยู่ในห้องอาหาร ทั้งสามต่างแยกกันนั่งคนละด้านของโต๊ะอาหาร ซูฮูหยินรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า สายตากระสับกระส่ายลอบมองซูหลีเป็นพักๆ อ้าปากคล้ายต้องการเอ่ยวาจาหลายหน แต่ก็คล้ายกำลังคาดหวังบางสิ่งอยู่ด้วย ซูหลีลอบยิ้มเย็นชาในใจ เพียงสนใจกินอาหารไม่เอ่ยคำใด
ในที่สุด ซูฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าท่านอ๋องทั้งสองกับคุณหนูหลีเสด็จไปเยือนบ้านพักตากอากาศด้วย คนหนุ่มสาวรวมตัวกันเหตุใดไม่อยู่เล่นสนุกสักหลายวันเล่า ไยกลับมาเร็วเช่นนี้?”
สายตาคมปลาบของซูหลีตวัดมองไปที่ซูฮูหยิน หลีเหยานั้นนางเป็นคนไปเชิญด้วยตนเองอย่างกะทันหันในวันเดินทาง เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ข่าวสารจากบ้านพักตากอากาศและจวนอัครเสนาบดียังไม่ได้ส่งถึงกัน หากในบ้านพักตากอากาศไม่มีสายข่าว แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น?
ซูชิ่นแค่นเสียงขึ้นจมูก วางตะเกียบแรงๆ เหล่มองซูหลีก่อนกล่าววาจาเสียดสี “ท่านแม่เดาได้ถูกต้องยิ่ง น้องสาวฐานะสูงส่ง ไม่เหมือนดังแต่ก่อน เดินไปที่ใดก็ล้วนเป็นจุดสนใจของผู้คน! ครานี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพื่อช่วยน้องสาว เจิ้นหนิงอ๋องถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส! ติดอยู่ใต้เขาหนึ่งคืนเต็มๆ หากกลับมาถึงบ้านพักตากอากาศช้ากว่านั้นอีกหน่อยคงไม่รอดแล้ว!”
นางนึกอิจฉาและชิงชังซูหลี จึงจงใจกล่าวเกินจริง ทว่าซูฮูหยินได้ยินกลับตกใจไม่เบา มือที่กำลังคีบอาหารพลันค้างเติ่ง ตะเกียบแทบร่วงตก ร้องตกใจเสียงหลง “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”
ซูหลีเลื่อนสายตาเรียบเฉยมองไปที่นาง ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ฟัง ทุกคำนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าเมื่อซูฮูหยินได้ฟังกลับตื่นตะลึงราวกับได้ยินเสียงสายฟ้าฟาด หัวใจของนางเต้นระรัวจนแทบจะกระดอนออกมาจากลำคอ
ซูหลีลอบพิจารณาสีหน้าของซูฮูหยินเงียบๆ แสร้งถอนใจกล่าวว่า “คืนนั้นแม้ว่าเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่มีอันตราย ทว่ากลับทำให้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่หลวง มิเช่นนั้นหากเกิดเหตุร้ายขึ้นระหว่างที่อยู่ภายใต้การดูแลของบ้านพักตากอากาศสกุลเรา เกรงว่าทั้งจวนอัครเสนาบดีก็คงรับผิดชอบไม่ไหว แต่ท่านอ๋องยังกล่าวอีกว่า…”
ซูฮูหยินหัวใจเต้นรัวเร็ว จ้องหน้านางเขม็งไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่น้อย เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านอ๋องยังว่าอะไรอีก?”
ซูหลีเว้นวรรค จงใจพูดช้าลง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง “ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสระน้ำพุร้อนนั้นมีเงื่อนงำ ทรงคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือน…มีคนจัดฉากขึ้นมา มีรับสั่งให้สืบสวนอย่างละเอียด และตามหาตัวคนที่บงการอยู่เบื้องหลังให้เจอในเร็ววัน ทันทีที่จับได้จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน!” นางจงใจไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ตงฟางจั๋วปรากฏตัวในเหตุการณ์ และเกิดการปะทะกันกับตงฟางเจ๋อ ซึ่งเป็นเหตุให้เรื่องนี้บานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากเรื่องนี้ไปถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ เกรงว่าผลที่ตามมาจะยิ่งเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด
ซูฮูหยินสีหน้าซีดเผือด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเพิ่งได้สติ ฝืนยิ้มกล่าวว่า “จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนจริงๆ…”
ซูชิ่นถลึงตาจ้องซูหลีอย่างเกลียดชัง คืนนั้นเดิมทีนางมีโอกาสดีที่จะได้ใกล้ชิดบุรุษในดวงใจแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอตื่นมากลับพบว่าตนเองอยู่บนเตียง ทำเอานางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ครั้นฟ้าสาง คนที่กลับมาพร้อมกับตงฟางเจ๋อกลับเป็นนางแพศยานางนี้! ท่านอ๋องมีรับสั่งให้สืบหาตัวคนที่บงการอยู่เบื้องหลังย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่แน่นี่อาจเป็นแผนการของนางแพศยานางนี้ก็ได้! ยามปกติวางตัวสูงส่ง แท้จริงแล้วกลับคิดแต่จะหาโอกาสล่อลวงเจิ้นหนิงอ๋องอยู่ตลอดเวลา!
นางแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ทว่ากลับเห็นซูฮูหยินมีสีหน้าผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นประคองอย่างระมัดระวัง กล่าวอย่างเป็นห่วง “ท่านแม่ เป็นอะไรไปเจ้าคะ? ไม่สบายอีกแล้วหรือ? เชิญหมอมาดูอาการดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ซูฮูหยินยกมือกุมหน้าผาก หลับตาเบาๆ คล้ายกำลังพยายามตั้งสติ นางสูดหายใจหลายครั้ง แล้วจึงค่อยเอ่ยเสียงอ่อนแรง “ไม่ ไม่เป็นไร อาจเพราะช่วงนี้อากาศร้อน คงเป็นลมแดดกระมัง”
“หลายวันก่อน ก่อนจะเดินทางไปบ้านพักตากอากาศ ฮูหยินก็บอกว่าไม่สบาย ดูท่าแล้วอาการคงยังไม่ดีขึ้น อย่างไรรีบกลับไปนอนรอที่ห้อง แล้วเรียกหมอมาดูอาการจึงจะดีที่สุด!” ซูหลีเสนออย่างหวังดี
ซูฮูหยินพยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นอย่างกระวนกระวาย เงาร่างที่ถูกซูชิ่นประคองเดินออกไปดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ซูหลีไม่แม้แต่จะหันไปมอง เพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ รอยยิ้มเย็นชาพาดผ่านกลีบปากงาม จากแผนการที่ทั้งสองตกลงกันไว้ สิ่งที่ควรทำ นางล้วนทำแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับตงฟาเจ๋อแล้ว!
ค่ำคืนนี้ ภายในจวนอัครเสนาบดีเงียบสงบกว่าปกติ
ยามบ่ายของวันที่สอง ซูหลีนั่งอยู่ในห้อง พลิกอ่านข่าวสารที่ศิษย์ในสำนักรายงานมาอย่างจริงจัง และแลกเปลี่ยนความเห็นกับหวั่นซินเป็นระยะ
ออกจากเมืองหลวงไปเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างในเฉินเหมินยังคงดำเนินไปตามปกติ ภารกิจต่างๆ ล้วนได้ผู้ช่วยมือดีทั้งสี่จัดการได้อย่างเหมาะสม ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ‘เฉินเหมิน’ สำนักมือสังหารอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพที่ดูเหมือนล่มสลายไปภายในคืนเดียวกำลังซุ่มตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงอย่างเงียบงัน
ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น เพียงแต่… ได้ยินว่าโลงศพที่นางเข้าไปซ่อนตัวในครั้งนั้น จู่ๆ ก็ถูกคนจุดไฟเผา นึกดูแล้วเรื่องที่ทำให้ตงฟางเจ๋อรีบกลับมาเมืองหลวงคงเป็นเรื่องนี้ หากเขากำลังตามหากระเป๋าผ้าต่วนใบนั้น โลงศพก็เป็นเบาะแสของเขา ตอนนี้เบาะแสหายไปแล้ว เขาต้องปวดหัวแน่นอน แต่นางกลับไม่อาจมอบกระเป๋าผ้าต่วนให้เขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ภัยมาถึงตัว
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” โม่เซียงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในสวน คล้ายเกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่คาดฝันขึ้น
ซูหลีอดถามไม่ได้ “มีเรื่องใด ไยจึงแตกตื่นเช่นนี้?”
โม่เซียงยืนพิงขอบประตู หอบหายใจอย่างหนักหน่วง “เจิ้น เจิ้นหนิงอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องเชิญคุณหนูให้รีบไปที่โถงหน้าโดยด่วน”
ซูหลีรีบวางกระดาษในมือลง นัยน์ตาไหวระริก ตงฟางเจ๋อจัดการเรื่องราวได้หมดจดงดงามดังคาด! ละครดีใกล้ได้เวลาเปิดฉากแล้ว!
ครั้นเหล่าคนในจวนอัครเสนาบดีที่ได้รับรายงานเร่งรุดไป ตงฟางเจ๋อก็นั่งรอในโถงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ยามนี้ใบหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ สายตาเย็นเยียบ กลิ่นอายเย็นชาที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้แผ่กำจายอยู่รอบตัวเขา
ครั้นทุกคนเห็น ก็พลันพากันใจสั่นขวัญหาย ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป เขากับซูเซียงหรูมีมิตรภาพที่ไม่ธรรมดา หลายครั้งที่มาเยือนจวนอัครเสนาบดีจะต้องนัดหมายล่วงหน้าก่อน ทว่าการมาโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยสักครั้ง
มองเห็นใบหน้าเย็นชาของเขาจากที่ไกลๆ ซูเซียงหรูพลันบังเกิดสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างรุนแรง รีบกุลีกุจอเข้าไปคารวะด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ท่านอ๋องเสด็จมาเยือนจวนอันต่ำต้อยของกระหม่อมกะทันหันเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด…”
“ท่านอัครเสนาบดีซู” ตงฟางเจ๋อเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า จ้องหน้าเขา ยิ้มเย็นชา ถอนใจกล่าวว่า “ท่านกับข้าร่วมงานในราชสำนักมานานหลายปี ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน กล่าวได้ว่าเห็นอกเห็นใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ข้าปฏิบัติตัวเช่นไรต่อท่าน คิดว่าท่านคงรู้ดีที่สุด!”
ซูเซียงหรูตื่นตกใจ สีหน้าแตกตื่นลนลาน “ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้อง ทว่ากระหม่อมกังวลใจยิ่งนัก ไม่ทราบเหตุใดจู่ๆ ท่านอ๋องจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้?”
“หลายวันก่อน ท่านเชิญข้าไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของสกุลซู ข้านึกสนใจจึงไปตามคำเชิญ ทว่ากลับต้องกลับมาด้วยความผิดหวัง นึกไม่ถึงว่าจะถูกคนในจวนท่านวางแผนเล่นงาน เกือบทำเรื่องเสื่อมเสียจนไม่อาจแก้ไขได้!” สายตาของตงฟางเจ๋อคมปลาบดั่งใบมีด เขาระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันใด น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดุดัน ทำเอาผู้คนอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญหาย
ครั้นวาจานี้ออกจากปาก ไม่เพียงซูเซียงหรูเท่านั้น แม้แต่ซูฮูหยินและซูชิ่นที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็ตกใจกลัวจนตะลึงงัน อ้าปากค้างทว่ากลับเอ่ยคำใดไม่ออก มีเพียงซูหลีที่มีสีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่ง และไม่เสียกิริยา
ซูเซียงหรูหน้าพลันถอดสีครั้งใหญ่ ร้องอย่างตกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?! กระหม่อม…กระหม่อมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
……………………………………………………….