กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 109 ชาติกำเนิดของซูหลี (1)
“ท่านอัครเสนาบดีคิดว่าข้าพูดจาเหลวไหล ปั้นน้ำเป็นตัวงั้นหรือ?” ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี ถามอย่างบีบคั้น
แรงกดดันมหาศาลปะทะเข้ามาโดยตรง ซูเซียงหรูสะท้านไปทั้งตัว รีบก้มหน้ากล่าวอย่างร้อนรน “ผู้น้อยมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” เขาตกใจลนลาน รีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัว พยายามตั้งสติอย่างรวดเร็ว ตงฟางเจ๋อทำเรื่องใดล้วนรอบคอบมาโดยตลอด หากไม่มีหลักฐานอยู่ในมือ เขาไม่มีทางเดินเข้ามาคาดโทษอย่างองอาจเช่นนี้แน่! ซูเซียงหรูลอบขมวดคิ้ว เป็นผู้ใดกันแน่ที่ทำเรื่องไม่ระวัง ถูกเขาจับจุดอ่อนได้เช่นนี้?
ซูเซียงหรูใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้ากลับฝืนฉีกยิ้มที่คล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมา กล่าวเสียงร้อนใจ “ท่านอ๋องทรงพระปรีชา โปรดอภัยที่ผู้น้อยโง่เขลา ท่านอ๋องโปรดชี้แนะผู้น้อยให้กระจ่างทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เซิ่งฉิน! เอาตัวผู้กระทำผิดเข้ามา!” ตงฟางเจ๋อตะโกนสั่งเสียงเข้ม
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เซิ่งฉินรับคำแล้วเดินเข้ามา ด้านหลังเขามีคนเดินตามมาอีกสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง คือซูฮู่พ่อบ้านในบ้านพักตากอากาศ และฟางเอ๋อร์สาวรับใช้นั่นเอง! ยามนี้ทั้งสองสภาพน่าอเนจอนาถ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตามเสื้อผ้าอาภรณ์ยังมีคราบเลือดกระดำกระด่างติดอยู่ ราวกับถูกคนไล่ล่ามาก็ไม่ปาน ทั้งสองก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร เดินเข้ามาในห้องโถง ก่อนจะทิ้งตัวคุกเข่าดัง ‘ตึง’
“ซูฮู่?! เจ้า เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?” ซูเซียงหรูร้องถามอย่างประหลาดใจ
“เรียน…ท่านอัครเสนาบดี ข้าน้อยถูกคนไล่ล่าเมื่อคืน หากมิใช่คนของเจิ้นหนิงอ๋องยื่นมือเข้าช่วย เพียงกลัว…เพียงกลัวว่ายามนี้ข้าน้อยคงได้ไปพบพญามัจจุราชแล้ว!” ซูฮู่ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา คล้ายยังหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่ในใจไม่หาย
“เจ้า เหตุใดเจ้าจึงโดนไล่ล่า?” ซูเซียงหรูตกใจ จากนั้นก็พลันกระจ่าง “…หรือว่าเป็นเจ้า?! เจ้าช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก! ถึงขั้นกล้าวางแผนเล่นงานท่านอ๋องเชียวหรือ?! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!” เขาพลันบันดาลโทสะทันใด ก้าวเข้าไป ถีบซูฮู่จนล้มกลิ้งไปกับพื้น
ตงฟางเจ๋อสีหน้าขรึมลงหนึ่งส่วน เอ่ยห้ามปรามเสียงเย็นชา “ท่านอัครเสนาบดีอย่าเพิ่งวู่วาม ฟังเขาพูดให้จบก่อน” น้ำเสียงเย็นเยียบ ส่งผลให้ซูเซียงหรูสะดุดกึกทันที
หนวดเครายาวเฟิ้มของเขากระตุกสั่นด้วยความโมโห ซูเซียงหรูพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ สะบัดแขนเสื้อกล่าวอย่างโมโหโทโส “ซูฮู่รีบว่ามา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
ซูฮู่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง สายตาเหล่มองไปทางซูฮูหยินซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองเห็นเพียงยามนี้ซูฮูหยินสีหน้าซีดเผือด สองมือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ ซูฮู่ร้องไห้และกล่าวว่า “หลายวันก่อนข้าน้อยได้รับคำสั่งจากจวน บอกว่าคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองจะมาพักร้อนที่บ้านพักตากอากาศ อาจมีท่านอ๋องทั้งสองร่วมเดินทางมาด้วย ฮูหยิน…สั่งให้ข้าน้อยดูแลรับใช้อย่างดี อย่าให้ขาดเหลืออันใดทั้งสิ้น นาง… นางยังกำชับเป็นพิเศษว่าข้าน้อยต้องสร้างโอกาสให้คุณหนูใหญ่กับ…เจิ้นหนิงอ๋องอยู่ด้วยกัน บอกว่าจะต้องหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก[1]…” เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ ศีรษะก็ก้มต่ำลงเรื่อยๆ จนแทบจะแนบชิดติดพื้น
วาจาประโยคนี้ ซูเซียงหรูได้ยินก็หน้าซีดขาวดังแผ่นเหล็ก ยังไม่ทันได้ระเบิดอารมณ์ ซูฮู่ก็พลันเงยหน้าขึ้น หันไปร่ำไห้เรียกร้องความเป็นธรรมกับตงฟางเจ๋อ “ข้าน้อยเป็นเพียงพ่อบ้านเท่านั้น หากไม่ได้ถูกคนบีบบังคับ แม้มีความกล้าเทียมฟ้า ก็ไม่กล้าวางแผนเล่นงานท่านอ๋องแน่นอน!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ซูฮูหยินชี้หน้าซูฮู่ โมโหจนตัวสั่น แทบยืนไม่ไหว ปกปิดความหวาดกลัวในสายตาไว้ไม่มิด
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “เหอะ พ่อบ้านซูช่างเป็นพ่อบ้านที่ดีแท้ๆ! คืนนั้นเจ้าจงใจจัดอาหารป่าจานนั้นมาถวายเป็นพิเศษ ซ้ำยังเอ่ยปากแนะนำอย่างสุดจิตสุดใจ เพื่อวางกับดักขั้นที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ! อาหารจานนั้นทุกคนกินด้วยกัน เป็นการจัดฉากอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ทันที!”
เขาย่างกรายไปยืนด้านหลังฟางเอ๋อร์ แรงกดดันบีบคั้นผู้คนส่งผลให้นางทิ้งตัวหมอบกับพื้น ตัวสั่นงันงก
ตงฟางเจ๋อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขั้นที่สอง เจ้าส่งฟางเอ๋อร์มาเกลี้ยกล่อมข้า ให้ข้าไปพักผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่สระน้ำพุร้อนบนยอดเขา…ข้าเพิ่งไปถึง คุณหนูใหญ่ซูก็ตามมาทันที”
ซูชิ่นตกใจ ถลึงตาจ้องฟางเอ๋อร์ อดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นเสียงดัง “ที่แท้เจ้าก็จงใจล่อลวงให้ข้าไปที่นั่น?” วาจานี้เพิ่งหลุดออกไป นางก็รีบยกมือปิดปากทันที ด้วยตกใจที่ตนเองพลั้งปากพูดออกไป คืนนั้นเจิ้นหนิงอ๋องปฏิบัติต่อนางต่างจากยามปกติจริงๆ โอกาสดีขนาดนั้น! ตนเองกลับไม่สามารถกอบโกยไว้ได้! ชั่วขณะหนึ่งนางทั้งอับอายและโมโห
ยามนี้ เมื่อเงยหน้าลอบมองตงฟางเจ๋อที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ใบหน้างดงามไร้ที่ติของเขาเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ทว่ากลับยังคงทำให้นางหลงใหลคลั่งไคล้ไม่เปลี่ยนแปลง
“อาหารป่าไม่มีปัญหา สระน้ำพุร้อนก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน สองอย่างรวมกันจึงจะทำให้เกิดแรงปรารถนาขึ้น เข้าใจใช้ข้อได้เปรียบจากธรรมชาติ กระทั่ง…ยอมเสียสละความบริสุทธิ์ของบุตรสาวตนเอง จัดฉากละครอันชาญฉลาดเช่นนี้ขึ้นมา แผนการนี้คงผ่านการครุ่นคิดมาอย่างหนัก ซูฮูหยิน…ท่านกล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเช่นนี้ จะอธิบายเช่นไร?” ตงฟางเจ๋อกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาเลื่อนผ่านซูเซียงหรู ตวัดตรงไปยังซูฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาตรงๆ มุมปากหยักยิ้มเย็นชาเบาๆ
ซูหลีนัยน์ตาไหวระริก ท่าทีเช่นนี้ของตงฟางเจ๋อ เห็นชัดว่าเป็นสัญญาณก่อนจะระเบิดโทสะ
ซูฮูหยินยืนหลบอยู่ข้างหลังซูเซียงหรู ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าซีดขาวไปทั้งดวง ได้ยินตงฟางเจ๋อเอ่ยชื่อตนเอง ก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาเหลือกขาว ล้มหงายหลังหมดสติไปทันที
ซูชิ่นตกใจจนขวัญหนีดีหาย พุ่งตัวเข้าไปรั้งตัวนางเข้ามากอดแน่น ตะโกนเรียกเสียงแหลม “ท่านแม่! เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
“ฮูหยิน ฮูหยิน!” ซูเซียงหรูร้อนใจจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี ขานเรียกหลายครั้ง
ซูหลีรีบนั่งลงตรวจอาการ พบว่านางเพียงตกใจเกินเหตุ เอื้อมมือไปนวดหัวใจนางหลายครั้ง และหยิบน้ำมันซึ่งเป็นยาที่ทำให้รู้สึกสดชื่นออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปให้นางดมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินซูฮูหยินครางเบาๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาการทุเลาลงแล้ว นางสายตาเลื่อนลอย ไร้ซึ่งทิศทาง ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาจึงค่อยๆ กระจ่างชัด สติสัมปชัญญะก็กลับมาแจ่มชัดด้วยเช่นกัน วางแผนเล่นงานผู้ที่เป็นถึงองค์ชายในปัจจุบัน ซ้ำยังอาจกลายเป็นรัชทายาทในอนาคตอีกด้วย โทษทัณฑ์นี้ไม่ใช่น้อยๆ! ซูฮูหยินพลันยกมือปิดหน้าร่ำไห้ทันที
ตงฟางเจ๋อยังคงกล่าววาจาไร้ความเมตตาต่อไป ราวกับสัญญาณแจ้งเตือนเอาชีวิต “ท่านอัครเสนาบดี ตามความเห็นของท่าน เรื่องนี้ข้าควรลงโทษเช่นไรดี?”
“กระหม่อม…” ซูเซียงหรูอึกอัก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังพูดไม่ออก หันมองซูฮูหยินและบุตรสาวคนโตก็ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าและถอนหายใจ รู้สึกปวดใจและจำใจอย่างสุดแสน จริงๆ เลย! เจ็บใจนักที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้! เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างโมโห “ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้! เจ้าร้องไห้ตอนนี้มีประโยชน์อะไร? ไปทำเรื่องงามหน้าอันใดไว้? ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไร เจ้าล้วนไม่เคยจำใส่ใจ! อายุปูนนี้แล้วไม่มีสมองบ้างหรือ! เพียงเพื่อเรื่องเล็กๆ อย่างความรักวัยหนุ่มสาวของชิ่นเอ๋อร์ เจ้ากลับวู่วามไม่สนใจสิ่งใด กล้าทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้? ต้องลากชีวิตของคนนับร้อยในจวนมาเกี่ยวข้องด้วยเจ้าจึงจะยอมหยุดใช่หรือไม่?!”
เมื่อถึงยามนี้ ซูชิ่นก็กระจ่างในที่สุดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นเพราะท่านแม่ทำเพื่อนาง จึงยอมเดินหมากที่เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเช่นนั้น ครั้นเห็นมารดาร่ำไห้ปานใจจะขาด ได้แต่ฟังบิดาด่าทอโดยไม่กล้าโต้แย้งสักคำ ในใจพลันเจ็บปวดรวดร้าว หากไม่ใช่เพื่อนาง ท่านแม่จะกล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร? ยามนี้สิทธิ์ในการตัดสินความเป็นความตายขึ้นอยู่กับคนผู้นั้น นางพลันได้สติราวเพิ่งตื่นจากฝัน
ซูชิ่นลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เดินไปคุกเข่าดังตึงต่อหน้าตงฟางเจ๋อ โขกศีรษะหลายครั้ง น้ำตาไหลนองดั่งสายฝน ดวงหน้างามละเอียดยุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ สภาพไม่ต่างจากผีสางนางไม้ นางเอ่ยอ้อนวอนไม่เป็นประโยค “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ ซูชิ่นไม่ดีเอง เป็นซูชิ่นที่ละเมอเพ้อพก ไม่สมควรมีใจให้ท่านอ๋อง หากท่านอ๋องจะลงโทษจะฆ่าแกง ก็ลงโทษซูชิ่นเถิดเพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันอายุมากแล้ว นางรับไม่ไหวแน่…ขอร้องเถิดเพคะ ท่านอ๋อง ชิ่นเอ๋อร์ขอร้องท่าน!” นางอ้อนวอนไม่หยุด พยายามเอื้อมมือไปคว้าชายอาภรณ์ของตงฟางเจ๋อ ราวกับว่านั่นเป็นเชือกฟางเส้นสุดท้ายในสถานการณ์สิ้นหวังยามนี้
……………………………………………………….
[1]หุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก หมายถึง เรื่องราวเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้อีก ความหมายใกล้เคียงกับสำนวนไทยว่า “สายเกินแก้”