กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 111 ชาติกำเนิดของซูหลี (3)
สองแม่ลูกรีบคลานเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าตงฟางเจ๋อ น้ำตานองหน้า โขกศีรษะติดกันหลายครั้ง ผ่านไปนานก็ยังไม่ลุกขึ้น
เมื่อกี้ยังเผชิญหน้ากันอย่างศัตรูที่พร้อมจะชักดาบยิงธนูใส่กัน พริบตาเดียวกลับกลายมาเป็นมิตรกันเช่นเดิม ช่างเป็นฉากละครที่น่าตื่นตาตื่นใจโดยแท้
มาถึงตอนนี้ ซูหลีจึงเพิ่งเข้าใจสถานการณ์อันยากลำบากของตงฟางเจ๋ออย่างแท้จริง เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขา ยังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง หัวใจของนางพลันเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย ตำแหน่งรัชทายาท เป็นสิ่งที่แสดงถึงความโปรดปรานในวังหลังได้ดีที่สุด ผู้ใดได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ผู้นั้นก็จะได้รับแรงสนับสนุนที่ทรงพลัง น่าเสียดายที่เหลียงกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงไร้ที่พึ่งพิงตั้งแต่นั้นมา เพื่อตงฟางจั๋วแล้ว ฮองเฮายิ่งต้องเร่งรีบกำจัดเขาอย่างแน่นอน เขาจำต้องอาศัยอำนาจของคนในราชสำนัก ซึ่งก็คือซูเซียงหรู ซูเซียงหรูเองลับหลังก็โลเลไม่แน่นอน กระทั่งอาจจ้องฉวยโอกาสเสียด้วยซ้ำ…ต้องเผชิญหน้ากับแผนการเช่นนี้ เกรงว่าเขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้เท่านั้น
คล้ายรับรู้ได้ว่านางกำลังมองตนเอง ตงฟางเจ๋อหันมาสบตากับดวงตาแจ่มใสดังสายน้ำของซูหลี ม่านตาลึกล้ำมีประกายอ่อนโยนพาดผ่านอย่างรวดเร็ว เขายิ้มบางกล่าวว่า “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ซูเซียงหรูลอบถอนหายใจ ทว่ากลับยังคงแสร้งฉีกยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง นี่ก็ค่ำแล้ว อย่างไรอยู่เสวยอาหารก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไว้วันหลังเถิด”
ซูเซียงหรูรีบพยักหน้า กลุ่มคนเดินออกไปส่งตงฟางเจ๋อนอกห้องโถงอย่างระมัดระวัง
และแล้วคลื่นลมระลอกหนึ่งก็สงบลงไปเช่นนี้ แต่ซูหลีรู้ดีว่าคลื่นลมลูกใหญ่กว่ากำลังจะมาเยือน
เมื่อกลับมาถึงเรือน กลับไม่เห็นเงาหวั่นซิน กระทั่งหลังอาหารมื้อเย็น นางจึงค่อยเข้ามาในห้องอย่างร้อนรน คิ้วงามขมวดแน่น คล้ายมีเรื่องหนักอกหนักใจ
ซูหลีเห็นสีหน้านางผิดปกติ จึงหาข้ออ้างให้โม่เซียงแยกตัวออกไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”
หวั่นซินมีสีหน้าหนักใจ นั่งลงข้างกายนาง ล้วงรายงานลับฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้ซูหลี และกล่าวเสียงจริงจัง “ทางฉินเหิงได้รับข่าวว่าพักนี้มีคนสองกลุ่มกำลังสืบเรื่องชาติกำเนิดของคุณหนูอย่างลับๆ ฝ่ายหนึ่งเป็นหลางฉ่าง รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง อีกฝ่ายคือฮูเอ่อร์ตู ทูตจากแคว้นเปี้ยน ฮูเอ่อร์ตูผู้นี้ร้ายกาจที่สุด เขาสืบจนหาตัวหญิงทำคลอดคุณหนูในปีนั้นเจอแล้ว ทว่ากลับถูกสตรีนิรนามที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดชิงสังหารตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว”
ซูหลีอึ้งงัน “ฐานะของข้า…พวกเขาล้วนรู้แล้วมิใช่หรือ? ยังมีอะไรให้ต้องสืบหาอีก?” เมื่อก้มอ่านรายงานในมือจนจบ นางก็ถามอย่างสงสัย ในใจกลับเคร่งเครียดขึ้นมา แค่หญิงทำคลอดธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดต้องฆ่าคนปิดปาก? หรือชาติกำเนิดของซูหลีมีความลับซ่อนอยู่จริงๆ?
สายตาของหวั่นซินพลันสั่นระริก นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา ทั้งสองฝ่ายต่างตรวจสอบกันอย่างละเอียด ตั้งแต่สถานที่ และเวลาเกิดของคุณหนู จนถึงชาติตระกูล รูปร่างหน้าตา อายุของฮูหยินรอง แม้กระทั่งว่าตอนนั้นนางรู้จักกับท่านอัครเสนาบดีได้อย่างไร พวกเขาต่างก็ถามอย่างละเอียดยิบ”
ฝ่ายหนึ่งสืบหาอย่างไม่ลดละ ทว่ากลับถูกคนลักลอบทำลายเบาะแส สตรีที่สังหารคนนางนั้น เห็นชัดว่ากำลังปกปิดความจริงเอาไว้…
ซูหลีถามเสียงเคร่งขรึม “สืบได้หรือไม่ว่าสตรีที่สังหารคนนางนั้นเป็นใคร?”
“ฉินเหิงพยายามอย่างหนักแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจสืบหาฐานะที่แท้จริงของนางได้!” หวั่นซินส่ายหน้า เอ่ยเสียงเครียด “จากที่สายข่าวรายงานมา สตรีนางนั้นมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ มีวิธีสังหารคนที่พิเศษยิ่งนัก อาศัยเพียงใบไม้ใบเดียวก็สามารถปลิดชีพหญิงทำคลอดนางนั้นได้แล้ว วิทยายุทธ์เช่นนั้นน่าทึ่งยิ่งนัก หวั่นซินเวียนว่ายอยู่ในยุทธภพมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นกระบวนท่าเช่นนี้เลย!”
ซูหลีพลันสะท้านไปทั้งตัว หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว ใบไม้ปลิดชีพ หนึ่งกระบวนท่าคร่าชีวิต! คนผู้นี้…หรือว่าจะเป็นท่านน้าจิ้งหวั่น?! ยามที่นางยังเป็นหลีซู วิทยายุทธ์ทั้งหมดที่นางร่ำเรียนมาล้วนได้ท่านน้าจิ้งหวั่นถ่ายทอดทุกกระบวนท่าให้อย่างตั้งใจ คืนนั้นที่ตงฟางเจ๋อถูกไล่ล่าในโรงเตี๊ยม นางก็บังเอิญใช้กระบวนท่านี้จึงสามารถกำราบมือสังหารได้! หวั่นซินบอกว่าไม่เคยเห็นกระบวนท่าเช่นนี้มาก่อน นั่นก็เพราะว่าในยุทธภพไม่มีผู้ใดสามารถฝึกฝนวิชาขี่วายุได้อย่างไรเล่า!
แต่… หากเป็นท่านน้าจิ้งหวั่นจริง เหตุใดนางถึง…สังหารหญิงทำคลอดซูหลีเล่า?! ท่านน้าจิ้งหวั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงหรือ?
นางหลับตา เรียบเรียงความคิดเงียบๆ ครั้งที่แล้วออกไปข้างนอกบังเอิญเจอหลางฉ่างกับฮูเอ่อร์ตู พวกเขาต่างก็มีท่าทางแปลกๆ เพราะหน้าตาของซูหลี
‘เหมือนมาก!’ ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ประโยคที่ฮูเอ่อร์ตูพูดยามที่เจอหน้านางครั้งแรกก็พลันผุดขึ้นมาในสมอง จากที่ถามโม่เซียง นางหลิ่วและซูหลีไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกันมาก
เช่นนั้นที่ฮูเอ่อร์ตูบอกว่าเหมือนมาก…เหมือนผู้ใดกัน? ยังมีภาพวาดในมือของหลางฉ่างอีก…
นางลืมตาอย่างรวดเร็ว คำตอบพลันผุดขึ้นมาในใจ! คนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนนาง มีแค่ ‘หรงซีจิน’ เสด็จแม่ของนางคนเดียวเท่านั้น!
ที่ผ่านมา นางคิดมาโดยตลอดว่าการที่ซูหลีและหลีซูมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่น่าตกใจ เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่หลีซูฟื้นคืนชีพก็ยังน่าเหลือเชื่อกว่ามาก ยามนี้เมื่อนางคิดอย่างละเอียด ความสัมพันธ์ของทั้งสองอาจไม่ได้ง่ายดายแค่เพียงคำว่าบังเอิญเท่านั้น!
หน้าตาที่คล้ายกัน อายุที่เท่ากัน ต่างก็ได้รับพิษจากดอกฉิงฮวาตั้งแต่กำเนิด ทั้งสองฝ่ายต่างสืบเรื่องนางหลิ่วมารดาของซูหลีอย่างละเอียด แล้วยังมีการยื่นมือเข้ามาแทรกของท่านน้าจิ้งหวั่นอีก ท้ายที่สุดแล้วกลัวเพียงว่าทั้งหมดที่พวกเขาทำไปก็เพราะต้องการสืบเรื่องของหรงซีจิน เสด็จแม่ของนาง! หรือว่า…ในใจนางพลันบังเกิดความคิดอันกล้าหาญหนึ่งขึ้นมา
“หวั่นซิน แต่ก่อนท่านแม่ของข้า นางเคย…บอกเรื่องอะไรกับเจ้าเป็นพิเศษบ้างหรือไม่?” ซูหลีพลันเปลี่ยนเรื่อง สายตาจับจ้องตรงไปที่หวั่นซิน
หวั่นซินที่กำลังครุ่นคิดเงียบๆ ได้ยินวาจานี้ก็พลันอึ้งงัน นึกไม่ถึงว่านางจะถามคำถามเช่นนี้ จึงย้อนถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดคุณหนูจึงถามเช่นนี้เจ้าคะ?”
ซูหลีเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด “บุตรีแห่งจวนอัครเสนาบดี ถูกคนจากสองแคว้นซึ่งไม่เคยรู้จักกันตามสืบเรื่องชาติกำเนิดอย่างลับๆ หรือเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก? หากไม่มีเรื่องน่าสงสัยจริง ใครจะยอมลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อสืบหาเบาะแส? หญิงทำคลอดนางนั้นยังถูกคนสังหารปิดปากอีกด้วย!” ท่านน้าจิ้งหวั่นรู้เรื่องอะไร และต้องการปิดบังสิ่งใดกันแน่?
หวั่นซินสายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มบางเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ จำได้ท่านเคยบอกว่า ใต้ผืนฟ้ากว้างใหญ่ เรื่องประหลาดใดบ้างไม่มี เรื่องนี้คงเป็นอีกฝ่ายเข้าใจบางอย่างผิดไปเอง ถึงแม้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาจะยังไม่ชัดเจน แต่หวั่นซินบอกคุณหนูอย่างมั่นใจได้เลยว่าชาติกำเนิดของคุณหนู ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิดแน่นอน”
แล้วเป็นอย่างไรเล่า?! ซูหลีไม่ได้พูดอะไร เรื่องที่หนึ่งบังเอิญ เรื่องที่สองถึงแม้จะบอกว่าบังเอิญ แต่เมื่อเรื่องบังเอิญทั้งหมดต่างก็บ่งชี้ไปยังทิศทางเดียวกัน เช่นนั้น…เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
“ก่อนจากไป คนที่ฮูหยินรองเป็นห่วงมากที่สุด ก็คือคุณหนูเจ้าค่ะ” หวั่นซินเห็นนางไม่เอ่ยอะไร สายตาที่มองซูหลีมีความเจ็บปวดแฝงอยู่รางๆ เอ่ยเสียงเนิบช้า “คนที่เป็นมารดาทุกคน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่สำคัญ เรื่องที่นางเป็นห่วงที่สุด ก็คือบุตรของตนเอง ขอเพียงชาตินี้อยู่อย่างไร้โรคภัยไข้เจ็บไปจนแก่เฒ่า ได้ครองคู่กับสามีที่หมายปองไปจนหัวหงอก นางก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”
แม้ว่าหวั่นซินจะพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ในน้ำเสียงยังคงสะท้อนความอิจฉาและเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด นี่เป็นวาจาที่ออกมาจากใจนางจริงๆ
ประโยคนี้ ซูหลีได้ยินก็รู้สึกเปรี้ยวฝาดในใจ ไม่ว่าซูหลีจะเป็นบุตรที่นางหลิ่วคลอดออกมาหรือไม่ ล้วนไม่อาจลบล้างความรักและทะนุถนอมที่นางหลิ่วมอบให้ซูหลีอย่างจริงใจได้เลย
……………………………………………………….