กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 112 อยู่ๆ ก็มีสามี! (1)
เพียงแต่ว่า ท่าทางผิดปกติเมื่อครู่ของหวั่นซิน กลับไม่ได้เล็ดลอดสายตาของซูหลีไป นางลอบถอนใจ หวั่นซินเอ๋ยหวั่นซิน เจ้าเป็นคนรอบคอบถึงเพียงนั้น ก่อนที่จะหาหลักฐานแน่ชัดได้ เจ้ากลับด่วนสรุปเรื่องราวเช่นนี้ นั่นก็แสดงว่าเจ้ารู้คำตอบแต่แรกแล้ว และกำลังปกปิดมันจากข้า!
หากเป็นซูหลีตัวจริง จะต้องปิดบังได้สำเร็จแน่นอน น่าเสียดาย นางไม่ใช่ซูหลีคนเดิมอีกแล้ว นางคือหลีซู คนที่ยืมร่างกายของซูหลีเพื่อเกิดใหม่! ที่สำคัญที่สุดก็คือ หวั่นซินไม่มีทางคาดคิด สตรีที่สังหารคนปิดปากผู้นั้น เคยเป็นอาจารย์ที่นางอยู่ด้วยทั้งเช้าและเย็นเป็นเวลาสิบหกปี!
ซูหลีไม่ถามหวั่นซินเกี่ยวกับเรื่องชาติกำเนิดอีก ด้วยรู้นิสัยของนางดี หากสามารถบอกความจริงได้ คืนนั้นนางคงเล่าหมดเปลือกแล้ว ยามนี้นางไม่เอ่ยถึงสักคำ เอาแต่ปิดบังมาโดยตลอด คิดว่าคงมีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น
เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหรงซีจิน มารดาของนาง นางไม่อาจนั่งมองเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร หลายวันหลังจากนั้น ซูหลีออกจากจวนบ่อยครั้ง อาศัยข้ออ้างว่าออกไปซื้อของใช้ต่างๆ นานา โดยที่แท้จริงแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายของสำนักเฉินเหมินซึ่งอยู่บนถนนตงซื่อ เพื่อติดตามข่าวสารจากฉินเหิงว่าค้นพบอะไรใหม่ในแต่ละวันหรือไม่
ไม่มีรายงานถึงความคืบหน้าของคนจากสองฝ่ายนั้น แต่ซูหลีกลับพบว่าตนเองถูกสะกดรอยตาม ระยะห่างที่คนผู้นั้นสะกดรอยตามนางนั้นถือว่าพอดี ไม่ใกล้เกินไป และไม่ไกลเกินไป ทุกวันนับตั้งแต่ออกจากจวนจนถึงตอนกลับจวน ไม่ว่านางจะเคลื่อนไหวช้าหรือเร็ว คนผู้นั้นก็มักตามติดเกี้ยวของนางเสมอ แม้บนถนนตงซื่อที่ผู้คนสัญจรพลุกพล่านก็ยังไม่ปล่อยให้คลาดสายตา เห็นชัดว่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศดีกว่าฮูเอ่อร์ตู
เป็นเช่นนั้นอยู่หลายวันติดกัน ราวกับเงาที่ตัดไม่ขาด ตามติดเฝ้าดูซูหลีอยู่ในความมืด ไม่มีการเคลื่อนไหวมากไปกว่านั้น ชั่วขณะหนึ่ง ซูหลีเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคนผู้นั้นคืออะไรกันแน่ ความรู้สึกที่ศัตรูอยู่ในที่ลับตนเองอยู่ในที่แจ้ง ถูกคนจับตามองอย่างไม่คลาดสายตาเช่นนี้อึดอัดมากจริงๆ นางจึงตัดสินใจว่าจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป
เช้าตรู่ของวันที่สอง เกี้ยวของซูหลีออกจากจวน มุ่งหน้าไปยังถนนตงซื่อดังเช่นทุกวัน เงาร่างนั้น ยังคงติดตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ เช่นเดิม
คนแบกเกี้ยวทั้งสี่พลันเร่งฝีเท้า เคลื่อนไหวเร็วกว่าที่ผ่านมามาก ห่างออกไปไกลๆ เกี้ยวคันนั้นพลันเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง พริบตาก็เดียวหายไปไม่เห็น ไม่นานเสียงร้องโอดโอยก็ดังตามมา
คนผู้นั้นที่สะกดรอยตามอยู่ข้างหลังพลันตกใจ ไม่มีเวลาให้คิดมาก รีบกระโดดขึ้นกลางอากาศ พุ่งตัวตามเข้าไปดั่งแมลงปอที่ดีดตัวเหนือผิวน้ำ! คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาว เรือนร่างอรชร เป็นสตรีนางหนึ่ง
ในซอยเล็กๆ ซอยนั้นไร้เส้นทางไปต่อ ด้านซ้ายและขวาเป็นกำแพง เกี้ยวลวดลายประณีตคันเล็กๆ จอดอยู่ตรงกลางถนน คนหามเกี้ยวก็หายตัวไปหมดแล้ว!
สตรีชุดขาวพลันร้อนใจ ลอยตัวเข้าไปใกล้ ยื่นมือแหวกม่าน กลับพบว่าข้างในไม่มีใครอยู่สักคน!
สายตานางพลันเปลี่ยน ได้สติทันที ตนเองติดกับเข้าแล้ว คิดจะถอยหนีคงไม่ทันกาล ด้านหลังมีฝ่ามือหนึ่งพุ่งตรงมายังกลางแผ่นหลังนาง นางแค่นเสียงเย็นชา เบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะซัดฝ่ามือกลับไปยังผู้ลอบโจมตีโดยไม่หันไปมอง! ทว่าเมื่อนางเห็นใบหน้าของซูหลี ก็พลันตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด อยากสลายพลังฝ่ามือก็ไม่ทันเสียแล้ว
ลมแรงระลอกหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา ราวกับภูเขาไท่ซานกดทับลงมา ซูหลีตกใจเล็กน้อย รีบเบี่ยงกายหลบหลีก ก่อนจะซัดฝ่ามือใส่สตรีนางนั้นอีกครั้ง
เงาร่างสองสายต่อสู้กันอยู่ด้านหนึ่ง ตามติดประชิดตัว พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายกระบวนท่า ยิ่งสู้กันทั้งสองก็ยิ่งตื่นตกใจ พลันนั้นฝ่ามือทั้งสี่ปะทะกัน ได้ยินเพียงเสียง ‘บึ้ม’ เงาร่างทั้งสองต่างแยกจากกัน ถอยกรูดไปคนละทิศ
ซูหลีถอยกรูดไปหลายก้าวจึงค่อยยืนอย่างมั่นคง นางรู้ว่าฝ่ามือเมื่อครู่ อีกฝ่ายใช้กำลังภายในไม่ถึงสองส่วนด้วยซ้ำ ในใจพลันบังเกิดคลื่นแห่งความตกตะลึง สายตาจับจ้องตรงไปยังใบหน้าที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาทั้งสองข้างพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบข้างพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งของเมืองหลวงที่ลับตาคนและเงียบสงัด เช้าตรู่ของวันนั้น นางและสตรีที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันทั้งเช้าและเย็นดังญาติพี่น้อง ยืนอยู่คนละฝั่งของซอย ทอดมองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ
แสงตะวันยามรุ่งอรุณสาดส่องผ่านกำแพงเตี้ย ทอทับร่างอรชรของพวกนาง กลายเป็นเงาร่างอันเปล่าเปลี่ยวเดียวดายทอดยาวอยู่บนพื้นดิน
กลับเป็น ท่านน้าจิ้งหวั่น…
เสียงขานเรียกอย่างสนิทสนมในความทรงจำ เกือบจะหลุดออกจากปากไปพร้อมกับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ ทว่ากลับถูกนางฝืนกล้ำกลืนลงไป!
เงาร่างอรชรของผู้สะกดรอยตามยืนตระหง่านท้าสายลม ใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมมาไม่แสดงคลื่นอารมณ์ใด มีเพียงสายตาที่จับจ้องมายังใบหน้าซูหลีเท่านั้นที่สับสนวุ่นวาย เปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงในใจออกมาเล็กน้อย
คัมภีร์เมฆาลอย! วิชากำลังภายในที่นางฝึกฝนกลับเป็นคัมภีร์เมฆาลอยที่ตนเองตามหามานานหลายปีแต่ก็ไร้ผล?!
ใบหน้างามล่มเมืองนั้น สำหรับนาง ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ปานสีแดงบนพวงแก้มข้างซ้ายปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน และยืนยันฐานะของนางอย่างไร้ข้อกังขา ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว กลับไกลเสมือนมีเหวกั้นขวางอยู่ ทำให้พวกนางต่างไม่อาจเข้าใกล้กันได้ หลังจากหันมองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้งอีกครั้ง สตรีชุดขาวก็พลันลอยตัวขึ้นเหนืออากาศ กระโดดผ่านหลังคาบ้านเรือนอย่างว่องไวดั่งหมอกควัน ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
น้ำตาที่ข่มกลั้นไว้แทบจะไหลรินออกจากเบ้าตา ซูหลีรีบแหงนหน้ามองท้องฟ้า กล้ำกลืนน้ำตากลับไป นางจ้องมองไปยังทิศที่เงาร่างนั้นจากไปอย่างเหม่อลอย ผ่านไปนานก็ยังไม่ขยับตัว นิ่งงันดั่งรูปปั้น
ท่านน้าจิ้งหวั่น…ท่านเองก็กำลังสงสัยในตัวตนของนาง จึงได้ร้อนใจเช่นนี้ ใช่หรือไม่?
หน้าหลุมฝังศพของเสด็จแม่ ท่านน้าสารภาพเรื่องราวอย่างจริงใจ นางปิดบังความลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดรู้ไว้มากมายแค่ไหนกันแน่?
คำถามมากมายถาโถมในใจ คลื่นอารมณ์ป่วนพล่าน ไม่อาจควบคุมตนเอง
เพียงแต่… ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนางได้
สายลมอ่อนพัดโชย ดังมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่ง อบอุ่นนุ่มนวล ไล้ผ่านใบหน้าซีดขาวของซูหลีอย่างแผ่วเบา ผ่านไปเนิ่นนาน ครั้นนางหมุนกายเดินออกไปนอกซอยอีกครั้ง จิตใจก็กลับมาสงบเช่นเดิม
ซูหลีแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนที่เบียดเสียดเนืองแน่น ทอดน่องเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ความคิดของนางยังคงติดอยู่กับเงื่อนงำเหล่านั้น หวั่นซินปิดบังเรื่องจริงไม่ยอมกล่าวถึง ท่านน้าจิ้งหวั่นลอบสังเกตการณ์อยู่นานหลายวัน คล้ายกำลังสงสัยตัวตนของนางในปัจจุบันเช่นกัน ยามนี้นางเปลี่ยนตัวตนแล้ว กลัวเพียงว่าคงยากจะเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อถามให้กระจ่างชัด
โดยไม่รู้ตัว นางเดินมาจนถึงหอน้ำชาที่พบฮูเอ่อร์ตูเป็นครั้งแรก เบื้องหน้ามีเงาร่างสีดำของคนผู้หนึ่งปรากฏกายทันใด เป็นองครักษ์นายหนึ่งที่ยกมือขวางทางเดินของนางเอาไว้ จากนั้นก็ค้อมศีรษะเอ่ยอย่างนอบน้อม “นายท่านบ้านข้าเชิญคุณหนูขึ้นไปพุดคุยข้างบนสักครู่ขอรับ”
ท่าทางนอบน้อมมีมารยาท ในความอ่อนน้อมกลับไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ นิสัยของเจ้านาย สามารถดูได้จากองครักษ์ประจำกายเขาหลายส่วน
ซูหลีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดมองขึ้นไปบนหอน้ำชา เห็นหน้าต่างของห้องส่วนตัวห้องหนึ่งบนชั้นสองที่หันหน้ามาทางถนนเปิดแง้มไว้ครึ่งบาน เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ
เป็นหลางฉ่าง รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งนั่นเอง
เขาคลี่ยิ้มบาง ยกถ้วยชาในมือมาทางซูหลีด้วยท่าทางสง่างาม ค้อมศีรษะเล็กน้อย สีหน้าจริงใจ คล้ายคำเชื้อเชิญ
เดินจนพื้นรองเท้าสึกก็ยังไร้จุดหมายปลายทาง ซูหลีพลันสะดุด นางกำลังกังวลที่ฉินเหิงไม่ได้ความคืบหน้าอะไรจากคนของแคว้นติ้งและแคว้นเปี้ยน ยามนี้กลับบังเอิญพบรัชทายาทแคว้นติ้งพอดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจ นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนีอีก
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ยิ้มตอบเป็นมารยาท
องครักษ์นายนั้นรีบค้อมกายกล่าว “คุณหนูซู เชิญขอรับ!” เอ่ยจบ ก็เดินนำทางซูหลีเข้าไปในหอน้ำชาอย่างระมัดระวัง
……………………………………………………….