กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 114 อยู่ๆ ก็มีสามี! (3)
ซูหลียิ้มอ่อนๆ ปฏิเสธอย่างนิ่มนวล “ขอบคุณน้ำใจของคุณชายหลาง แต่ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก มิได้กลับจวนทันที”
“อ้อ เช่นนั้นเชิญคุณหนูซูตามสบาย” หลางฉ่างไม่ถามให้มากความอีก เดินไปส่งนางถึงนอกประตู กระทั่งเงาร่างอรชรของนางกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชน
หลังพบกันโดยบังเอิญและถามหยั่งเชิงอีกฝ่าย ซูหลีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลางฉ่างไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนาง เขาเพียงกำลังตามหาคนเท่านั้น คนที่สำคัญมากสำหรับเขา ในใจคล้ายมีคำตอบอยู่รางๆ แต่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าใช่คนเดียวกับที่ใจนางคิดหรือไม่ นางก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องในใจ เดินทอดน่องช้าๆ ไปยังสถานที่นัดหมายที่นางตกลงกับหวั่นซินไว้ก่อนแล้ว
ร้านค้าในเครือของเฉินเหมินมีอยู่ทั่วเมืองหลวง ฉินเหิงสร้างฐานข่าวกรองแห่งหนึ่งไว้ในซอยฮวาเซี่ยงซึ่งตั้งอยู่บนถนนตงซื่อ ชื่อว่าหอหวั่นเซียง ภายนอกค้าขายสินค้าประเภทแป้งชาดเครื่องหอม และเครื่องประดับของอิสตรี แท้จริงแล้วกำลังลอบสังเกตการณ์และรวบรวมข่าวสารจากหอนางโลมที่อยู่ไม่ไกลต่างหาก
ตามปกติแล้ว หอนางโลมมักมีแขกในช่วงพลบค่ำ แต่หญิงงามในหอนางโลมแห่งนั้นไม่รู้ใช้กลยุทธ์ใดในการเรียกแขก ยังไม่ทันพลบค่ำก็มีแขกเนืองแน่น ผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่
ซูหลีเหลือบมองความคึกคักหน้าประตู พลางลอบยิ้มเย็นชา บุรุษทุกผู้ใต้ฟ้านี้ล้วนชอบของใหม่ลืมของเก่า น้อยนักที่จะเจอคนรักเดียว ยามนี้มาคิดดูประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีเหตุผล ไม่รู้ว่าสตรีมากมายในโลกใบนี้ จะมีสักนางไหมที่ได้ครอบครองหัวใจของบุรุษที่รักนางเพียงผู้เดียว…
ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง พลันได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมๆ ของหญิงสาวดังออกมาจากหอนางโลม จากนั้นเสียงกรีดร้องอื่นๆ ก็ดังระงมตามมา ผ่านไปไม่นานเหล่าหญิงนางโลมที่แต่งกายงดงาม กลิ่นตัวหอมฟุ้งก็แย่งกันวิ่งออกมาจากประตู ก่อนจะเบียดตัววิ่งหนีเข้าไปท่ามกลางฝูงชน ด้านหน้าหอนางโลมพลันเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นทันที
“กลับมาเดี๋ยวนี้! จะหนีไปไหน?! ข้ามีเงินมากมาย! กลับมาดื่มเป็นเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนหนึ่งดังมาพร้อมกับเงาร่างสีแดงที่กระโดดออกมายืนจังก้ากลางถนน มองแวบแรก ราวกับมีเมฆายามอาทิตย์อัสดงสีแดงสะดุดตาก้อนหนึ่งพุ่งออกมาจากหอนางโลม
เขายืนหันข้างให้ซูหลี ในมือถือกาหยกไว้หนึ่งใบ สาบเสื้อสีแดงแหวกกว้าง เผยให้เห็นแผงอกกำยำที่อยู่ข้างใน ผิวกายสีเข้มมีเม็ดเหงื่อไหลอาบ สะท้อนแสงระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าในฤดูร้อน เส้นผมดำขลับซึ่งถูกถักเปียเป็นช่อเล็กๆ หลายช่อปล่อยสยายลงกลางแผ่นหลัง แลดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ซูหลีสะดุดใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มผู้นี้แต่งกายคล้ายคนนอกพื้นที่
เด็กหนุ่มชุดแดงพลันหมุนกาย สอดส่ายสายตามองหาเป้าหมายไปทั่วทิศ ทว่าพอก้าวเท้าก็เดินสะดุดเกือบล้มคะมำกับพื้น เห็นชัดว่าดื่มสุราไปไม่น้อย เขามองหาไปพลาง ปากก็พล่ามไม่หยุด “คนเล่า? หนีไปที่ใดหมดแล้ว?”
เมื่อเอียงคอ ก็มองเห็นซูหลีที่ยืนอยู่ใต้ชายคาฝั่งตรงข้ามพอดี ดวงตาเป็นประกายของเขาจ้องเขม็งมายังซูหลี พลันหยักยิ้มมุมปาก เงาร่างโฉบไหว พุ่งตัวเข้ามาหาซูหลีทันที!
ซูหลีสายตาเย็นชา ดูท่าทางแล้วเขาเพิ่งจะอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด อายุยังไม่มากก็มาเที่ยวหอนางโลมแล้ว พฤติกรรมคึกคะนองไร้มารยาท เสียดายรูปร่างหน้าตาดีๆ เช่นนั้นจริงๆ! เมามายจนสติเลอะเลือนคิดว่านางเป็นหญิงนางโลม! คิ้วงามกระดกสูง หางตาเหลือบเห็นว่าเยื้องไปด้านหลังเป็นร้านแป้งชาดพอดี ด้านหน้ากำแพงทั้งสองฝั่งประตูของร้านมีกลีบดอกไม้สีสันสวยงามวางตากไว้หลายกระด้ง
ความคิดพลันบรรเจิด นางหมุนกายอย่างอ่อนช้อย หลบไปยืนด้านหลังกลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่ จากนั้นก็ตวัดปลายเท้าขึ้น กลีบดอกไม้ตากแห้งกระด้งใหญ่พลันกระดอนขึ้นกลางอากาศ ลอยข้ามหัวฝูงชนพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้น!
เด็กหนุ่มชุดแดงพุ่งตัวเข้ามาหาซูหลีอย่างรวดเร็ว พลันนั้นรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน อยู่ๆ หญิงงามนางนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่ากลับมีกลีบดอกไม้มากมายพุ่งเข้ามาหาเขาแทน เขาอดตะโกนเสียงดังลั่นไม่ได้ ร่างกายเอนเอียงไปข้างหลังเล็กน้อย พยายามยืนอย่างมั่นคง แต่ใครเล่าจะรู้เท้าของเขากลับไม่ฟังคำสั่ง รองเท้าหนังวัวของเขายังคงพาเขาลื่นไถลไปข้างหน้าไม่หยุด
ณ วินาทีนั้น ด้านหน้าหอนางโลม กลิ่นหอมของบุปผาแผ่กำจายทั่วทิศ กลีบดอกไม้หลากสีสันโปรยปรายกลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นอยู่รอบกายเด็กหนุ่มชุดแดง เดิมทีควรเป็นภาพที่งดงามตระการตา ทว่ากระด้งใบใหญ่ที่ครอบหัวเขาอยู่กลับทำให้บรรยากาศพังทลายในชั่วพริบตา
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่พลันระเบิดเสียงหัวเราะทันที
เด็กหนุ่มชุดแดงลื่นไถลไปหลายก้าว กระทั่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางถนนในที่สุด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือปัดกระด้งบนหัวออก และขว้างกาสุราในมือลงพื้นอย่างแรง! โวยวายเสียงดังด้วยความโมโห “ผู้ใดกล้าลอบทำร้ายข้า! ออกมาเดี๋ยวนี้!” เห็นชัดว่าเขาสร่างเมากว่าครึ่งแล้ว
ซูหลียืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน น้ำเสียงแหลมใสเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “อายุยังน้อยกลับไม่ตั้งใจเล่าเรียน ข้าสั่งสอนเจ้าแทนบุพการีของเจ้า!”
เด็กหนุ่มชุดแดงได้ยินเช่นนั้นก็พลันหมุนกาย สายตาคมปลาบบีบคั้นผู้คนสอดส่องมองหาคนพูดท่ามกลางฝูงชน ครั้นเห็นเขาท่าทางดุดันเอาเรื่อง กลุ่มคนก็พลันสะดุ้ง รีบแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
ซูหลีไม่เอ่ยวาจาอะไรให้มากความ เพียงเหล่มองเขาอย่างเย็นชา เดินแหวกกลุ่มคนที่แยกย้ายกันไปเงียบๆ แล้วหมุนกายเดินจากไป
เด็กหนุ่มชุดแดงสายตาไหวระริก พลันเคลื่อนกายลอยตัวเหนืออากาศ กางแขนดั่งพญาเหยี่ยวกางปีก บินข้ามศีรษะซูหลีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งตัวขวางทางเดินซูหลี สายตาเฉียบแหลมตวัดมองมาที่ซูหลี ทว่าในเสี้ยววินาทีที่มองเห็นใบหน้านาง เขากลับชะงักงัน สีหน้าโกรธขึ้งพลันแปรเปลี่ยนเป็นชมชอบอย่างถึงที่สุด เขาพึมพำเสียงเบาประโยคหนึ่ง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
ซูหลีพลันขมวดคิ้วทันที หลายเดือนมานี้ นางเดือดร้อนเพราะใบหน้าตนเองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ครั้นเด็กหนุ่มตรงหน้าเผยสีหน้าแปลกๆ เช่นนี้อีก จึงยากที่นางจะไม่หวาดระแวง เพียงแต่วาจาที่หลุดออกจากปากเขาในวินาทีถัดมา กลับทำให้ผู้คนที่มุงดูอยู่อ้าปากค้างทันใด
“ภรรยาข้า! ข้าตามหาเจ้าลำบากเหลือเกิน!”
ซูหลีเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน ภรรยา? นี่หมายจะเล่นงิ้วฉากไหนอีก?!
เด็กหนุ่มชุดแดงดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา ปากก็พูดจ้อไม่หยุด “ภรรยาข้า เจ้าช่างใจดำยิ่งนัก เข้าใจผิดกันเพียงหนเดียว เจ้าก็หนีออกจากบ้านไปในวันแต่งงานวันที่สอง ทอดทิ้งสามีไว้ผู้เดียว เจ้ารู้หรือไม่ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ข้าเดินทางไปหลายที่ สืบข่าวคราวของเจ้ามาจนถึงเมืองหลวง นี่ไง เจ้าดู! แม้แต่รองเท้าที่เจ้าเย็บให้ข้า ข้าก็ใส่เดินจนสึกไปหลายคู่แล้ว! บนเท้ายังมีตุ่มน้ำพองด้วย!” พูดไป เขายังนวดคลึงเท้าทั้งที่ใส่รองเท้าไว้อย่างนั้น
นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจอมคึกคะนองผู้นี้กลับคลั่งรักถึงเพียงนี้? ฉากละครตามหาเมียพันลี้มาเล่นอยู่ตรงหน้านางอย่างไม่คาดคิด ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะล้อมวงเข้ามาเงี่ยหูฟังเรื่องสนุก
ซูหลีลอบยิ้มเย็นชาในใจ ดูจากการแต่งกายของเขาเห็นชัดว่าไม่ใช่ชาวแคว้นเฉิง กลับคล้ายฮูเอ่อร์ตูทูตจากแคว้นเปี้ยนอยู่หลายส่วน หรือว่า…ฝ่ายนั้นคิดจะเล่นตลกอะไรอีก? วันนี้ช่างบังเอิญจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงก็บังเอิญได้พบคนของทั้งสองฝ่ายนั้น!
เด็กหนุ่มชุดแดงเห็นซูหลีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตนเอง นัยน์ตาสีดำเป็นประกายพลันมีน้ำตารื้นขึ้นมา ทำหน้าน้อยอกน้อยใจคล้ายจะร้องไห้ ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา ยื่นมือออกมาหมายจะรั้งตัวนางพลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “ภรรยาข้า หรือว่าเจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่? ข้าขอโทษเจ้าแล้วยังไม่พออีกหรือ?”
เสียงผู้คนรอบข้างต่างพูดขึ้นอย่างคล้อยตาม “ผัวเมียทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าถือโทษโกรธแค้นกันเลย!” ต่างก็ลืมไปสิ้นว่าเมื่อครู่เด็กหนุ่มผู้นี้เพิ่งมัวเมากับสตรีอื่นในหอนางโลม
……………………………………………………….