กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 118 พร้อมแล้วหรือยัง! (1)
“ท่านหญิงน้อยหมิงซี!” เพิ่งจะก้าวขึ้นบันไดไปได้สองขั้น ใบหน้าเกลื่อนยิ้มของคนผู้หนึ่งก็พลันปรากฏเบื้องหน้า เป็นเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีแดง เส้นผมถูกถักเปียเป็นช่อเล็กๆ เต็มศีรษะผู้หนึ่ง เห็นชัดว่าเป็นหยางเซียว องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน ผู้ที่ซูหลี ‘บังเอิญพบ’ ที่ถนน จากนั้นเขาก็ตามราวีนางไม่เลิกผู้นั้น!
ซูหลีขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ ท่านหญิงหมิงซีคือชื่อเรียกที่เป็นทางการที่สุดแล้ว แต่เขากลับเติมคำว่า ‘น้อย’ เข้าไปตรงกลาง ฟังดูพิลึกพิลั่น โดยเฉพาะน้ำเสียงนั้น ท่าทางคล้ายผู้ใหญ่ที่กำลังหยอกผู้น้อยเล่นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้าที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ต่างเชื้อชาติคนนี้แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับไม่ได้อายุมากไปกว่านางเลย!
“ถวายบังคมองค์ชายสี่เพคะ” ซูหลีถวายบังคมด้วยท่าทีเรียบเฉย กวาดตามองผู้ติดตามข้างหลังเขาแวบหนึ่ง หาได้ยากยิ่งที่ฮูเอ่อร์ตูจะไม่ติดตามมาด้วย สายตาของขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยนผู้นั้น ไม่ว่ามองผู้ใดล้วนเหมือนกำลังมองคนทรยศ พาให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก ซูหลีกล่าวอีกว่า “ภายหน้าหากขานนามหม่อมฉันอีกครั้ง องค์ชายสี่โปรดตัดคำว่า ‘น้อย’ ออกด้วยนะเพคะ!”
ท่าทีของนางจริงจังมาก แต่โชคร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายสี่แห่งแคว้นปี้ยนผู้ที่ไม่เคยจริงจังกับสิ่งใดเลย! เขาจงใจตีความวาจาของนางแบบผิดๆ ก้าวเท้ายาวๆ มาตรงหน้า ขยิบตาให้นาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกว่าท่านหญิงน้อยหมิงซีหรือ? เช่นนั้น…ข้าเรียกเจ้าว่าอาหลีน้อยก็ได้! อืม…อาหลีน้อย ชื่อนี้ข้าชอบ!”
เขาพูดเองเออเอง คล้ายพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ตนเองคิดชื่อที่ฟังดูสนิทสนมเช่นนี้ขึ้นมาได้ โดยไม่สนใจว่าซูหลีจะมีใบหน้าหงิกงอเพียงใด เพียงขานเรียกนาง และกล่าวต่อว่า “อาหลีน้อย ได้ยินว่าเจ้าเตรียมคำถามมาหลายข้อ ช่วยบอกใบ้ให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?” เอ่ยจบก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ท่าทางเหมือนรอให้นางกระซิบกระซาบบอกเขา
ซูหลีรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ใจรู้ดีว่าไม่อาจสื่อสารกับคนเช่นนี้ได้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงถามอย่างไม่ไว้หน้า “ท่านคิดคดโกง?”
หยางเซียวอึ้งงัน ก่อนจะหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ได้ ขอเพียงพาเจ้ากลับบ้านได้ ไม่ว่าวิธีใดข้าก็ไม่ถือสา!”
เขายักไหล่ ราวกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไร้ท่าทีอับอาย
ใจซูหลีพลันหนักอึ้ง นางกับองค์ชายสี่ผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผู้นี้ หนึ่งคือไร้ความสัมพันธ์ สองคือไร้ความรู้สึก อย่างมากก็เคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว ซ้ำยังมิใช่การพบกันอย่างเป็นทางการ เขามีจุดประสงค์ใดกันแน่ถึงต้องพานางกลับไปด้วยให้ได้เช่นนี้? เงยหน้ามองเขา ซูหลีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์ชายไม่ถือสา แต่หม่อมฉันถือสา! หม่อมฉันไม่ชอบคนที่ทำได้ทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงวิธีเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง หากองค์ชายสี่ไม่มั่นใจพอ สามารถถอนตัวออกจากพิธีคัดเลือกในครั้งนี้ได้นะเพคะ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจ”
นางเอ่ยวาจาอย่างไม่เกรงใจ หากเป็นคนทั่วไปคงรู้ตัวและเดินจากไปแล้ว แต่องค์ชายสี่ผู้ทะนงตนตรงหน้ากลับไม่มีท่าทีเคืองขุ่นแม้แต่น้อย เขาลูบคางอย่างอารมณ์ดี มองหน้านางคล้ายกำลังพิจารณา แล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าไม่ค่อยสนใจพิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้นัก แต่พอเจ้าพูดอย่างนี้ ข้ากลับคาดหวังขึ้นมาบ้างแล้ว! ไปกันเถิด อาหลีน้อย พวกเราเข้าไปด้วยกัน” เอ่ยจบก็หมายจะจูงมือนาง
ซูหลีสีหน้าเปลี่ยน รีบเบี่ยงหลบทันที
คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะทำตามกฎเกณฑ์ ซูหลีรู้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว ฉะนั้นจึงระวังเขาเป็นพิเศษ แต่องค์ชายสี่ผู้นี้คล้ายไม่รับรู้ถึงการปฏิเสธของนาง เขายังคงเอื้อมมือมาที่นาง ราวกับจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะจับมือนางได้ ยามนี้ซูหลีรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าคนผู้นี้ยากจะรับมือ ในใจพลันกระสับกระส่าย เพียงกลัวว่าหลังจบพิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้ นางอาจพบเจอความยุ่งยากมากกว่าที่จินตนาการไว้ก็เป็นได้!
ไม่รู้เขาใช้วิชาใดในการก้าวเท้า วิ่งตามหยอกเย้านางเหมือนแมวไล่จับหนู ซูหลีสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด จะเผยวิทยายุทธ์ที่นี่ก็ไม่ได้ ได้แต่นึกปวดหัว
ในตอนนั้นเอง เสียงนุ่มนวลสูงสง่าเสียงหนึ่งก็พลันดังมาจากเบื้องหลัง “คุณหนูซู!”
หยางเซียวรั้งมือกลับทันที ซูหลีพลันดีใจ รีบถอยไปข้างหลังราวกับพบดาวช่วยชีวิต เมื่อหันหน้าไปมอง ก็พบว่าเป็นหลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งดังคาด
เขาสวมอาภรณ์สีอ่อนปักลายมังกรสีทอง ขับเน้นให้เขาดูอ่อนโยนและสูงสง่า ไม่รู้เพราะเหตุผลใด ทุกครั้งที่ซูหลีพบเขา ในขณะเดียวกับที่ระวังตัว มักรู้สึกได้ถึงความสนิทสนมอย่างบอกไม่ถูก
“ซูหลีถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ!”
หลางฉ่างแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินมายืนบังนางไว้ข้างหลังอย่างแนบเนียน แล้วประสานมือคารวะหยางเซียว “ท่านนี้คงเป็นองค์ชายสี่ผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกระมัง? หลางฉ่างเลื่อมใสมานาน!” รอยยิ้มเขานุ่มนวล ทว่ากลับมีแววเย็นชาแอบแฝง
หยางเซียวยืดแผ่นหลังตรง เอียงหน้ามองเขา กระดกคิ้วสูง เหยียดยิ้มบางก่อนเอ่ย “ที่แท้ก็องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง! เกรงใจเกินไปแล้ว ในเมื่อบังเอิญพบกันเช่นนี้ ก็เข้าไปพร้อมกันทั้งหมดเถิด”
เพียงชำเลืองมองซูหลีที่ถูกยืนบังอยู่ข้างหลังหลางฉ่าง จู่ๆ หยางเซียวก็ล้มเลิกความตั้งใจตอแยนางต่อ สะบัดผม คล้ายต้องการแสดงเสน่ห์อันน่าดึงดูดของตนเองให้ถึงที่สุด เขาขยิบตาให้ซูหลีหนึ่งครั้ง แล้วจึงค่อยหมุนกายเดินจากไป ทว่าท่าหมุนตัวอันเย่อหยิ่ง กอปรกับอาภรณ์ที่ถูกเขาสะบัดแรงๆ นั่น ดูไร้มารยาทอย่างยิ่ง
หลางฉ่างกลับเหมือนไม่ใส่ใจ เพียงหันมาถามซูหลีอย่างเป็นห่วง “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
ซูหลีส่ายหน้า “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงช่วยซูหลีเพคะ!”
หลางฉ่างจ้องมองแผ่นหลังของหยางเซียวที่เดินห่างออกไป คิ้วเข้มขมวดเบาๆ เอ่ยเสียงขรึมอย่างหาได้ยาก “ยาวิเศษและพิษประหลาดมากมายใต้หล้านี้ อยู่ในแคว้นเปี้ยนเจ็ดถึงแปดส่วน คนผู้นี้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด หากเจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็จงระวังตัวไว้ให้มาก!”
“หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงห่วง!” ซูหลียิ้มอย่างซาบซึ้ง สุภาพทว่ารักษาระยะห่าง นางเองก็ดูออกเช่นกัน องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้นั้นอายุยังน้อย ท่าทางดูเสเพล ความจริงแล้วฉลาดปราดเปรื่อง ยากจะรับมืออย่างยิ่ง
หลางฉ่างอ้าปากคล้ายต้องการเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับหยุดไป สุดท้ายได้แต่มองนางแล้วถอนหายใจ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถิด”
ซูหลีพยักหน้า ทั้งสองพร้อมใจกันก้าวเท้าออกเดินเคียงไหล่ เพิ่งจะไปถึงหน้าประตูพระราชวังส่วนพระองค์ ก็มีขันทีผู้ดูแลเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีนอบน้อม และทำความเคารพพวกเขา
พระราชวังส่วนพระองค์เซียวซานแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานตะวันออก และเขตพระราชฐานตะวันตก เขตพระราชฐานทั้งสองส่วนแบ่งย่อยออกเป็นสามสิบหกตำหนัก และจุดชมทิวทัศน์อีกเจ็ดสิบสองจุด ที่พำนักของฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนอยู่ในเขตพระราชฐานตะวันออก เหล่าองค์ชายอยู่ในเขตพระราชฐานตะวันตก ส่วนพิธีคัดเลือกพระสวามีนั้นถูกจัดขึ้นที่หออวิ๋นเยียน ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์อันดับหนึ่งในเจ็ดสิบสองจุด
ตามกฎเกณฑ์ ซูหลีต้องไปถวายพระพรฮองเฮาที่เขตพระราชฐานตะวันออกก่อน ส่วนหลางฉ่างควรไปรออยู่ที่หออวิ๋นเยียน ฉะนั้นทั้งสองจึงกล่าวคำเกรงใจกันสองสามประโยคก่อนบอกลา ซูหลีเดินผ่านสวนต้นเฟิงแห่งหนึ่งภายใต้การนำทางของขันที เบื้องหน้าคือเขตพระราชฐานตะวันออก
ยามนี้ นอกประตูเขตพระราชฐานตะวันออก ตงฟางจั๋วกำลังเดินวนไปวนมา อาภรณ์ผ้าต่วนสีเขียวเข้มโบกสะบัดไปตามแรงลมไม่หยุด คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเบาๆ สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกกระสับกระส่ายหลายส่วน
ครั้นเห็นซูหลี ตงฟางจั๋วรีบเดินเข้ามาหา ไม่เอ่ยวาจาใด รั้งมือนางแล้วลากไปยังทางหนึ่งทันที
ซูหลีตกใจ “ท่านอ๋องทำอะไรเพคะ? จะพาหม่อมฉันไปไหน?”
นางขัดขืนโดยสัญชาตญาณ ตงฟางเจ๋อไม่สนใจแม้แต่น้อย และไม่ตอบคำถามของนาง ตั้งหน้าตั้งตาพานางเดินไปยังตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งลับตาคน
ซูหลีสะบัดมือเขาออก สีหน้าเคืองขุ่นเล็กน้อย กล่าวอย่างเสียดสี “ท่านอ๋องก็คิดจะคดโกงเช่นกันหรือเพคะ? คิดจะถามเนื้อหาคำถามจากข้าเหมือนองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้นั้น?”
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วมองนาง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ล้วงบางสิ่งออกจากอกเสื้อ ยัดใส่ฝ่ามือนางอย่างรวดเร็ว และกุมนิ้วมือนางเข้าหากันแน่นๆ
ซูหลีไม่เข้าใจ ก้มหน้ามองมือตนเอง ประกายแสงสีแดงเล็ดลอดออกมาตามซอกนิ้ว เป็นแสงสีแดงดั่งโลหิต ราวกับต้องการย้อมนิ้วมือขาวเนียนของนาง ซูหลีพลันเอ่ยด้วยความตกตะลึง “ศิลาเลือดนกเพลิง?!”
นางเงยหน้าอย่างตื่นตะลึง จำได้ว่าฮองเฮาเคยกล่าวไว้ ของสิ่งนี้นางจะมอบให้เป็นของขวัญแก่พระชายาในจิ้งอันอ๋อง ยามนั้นนางคิดหาวิธีนับร้อยนับพันกลับไร้หนทาง ตอนนี้เมื่อมั่นใจว่าตงฟางเจ๋อไม่ใช่ผู้ร้าย และไม่ต้องการของสิ่งนี้อีก นางกลับได้มันมาอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้!
………………………………………………………