กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 119 พร้อมแล้วหรือยัง? (2)
บางทีเรื่องราวบางอย่างในโลกอาจเป็นเช่นนี้ ยิ่งไขว่คว้าก็ยิ่งไม่ได้มา เพียงแต่ ในเวลาอย่างนี้ตงฟางจั๋วเอาศิลาเลือดนกเพลิงมาให้นางเพื่อการใด?
“มีเพียงเจ้าที่มีคุณสมบัติเป็นเจ้าของมัน!” ราวกับอ่านความคิดของนางได้ ตงฟางจั๋วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้าทว่าหนักแน่น แต่ซูหลีกลับไม่อยากเป็นเจ้าของมันแล้ว!
ตงฟางจั๋วราวกับไม่รับรู้ถึงการปฏิเสธของนาง สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้านาง เศร้าหมองทว่าอ่อนโยน มีแววจนใจ และความเจ็บปวดผสมอยู่รางๆ “ในโลกใบนี้ คนที่สามารถทำให้ข้าตงฟางจั๋วลดฐานะของตนเองลงเพื่ออ้อนวอน มีเพียงเจ้าเท่านั้น ซูหลี! แต่เจ้ากลับคล้ายเย็นชาเช่นนั้นกับข้าเสมอ ไม่ว่าข้าทำสิ่งใด เจ้าล้วนต่อต้าน เป็นเพราะอะไรกันแน่?”
ซูหลีช้อนตามองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งกว่ายามปกติ “ท่านอยากรู้หรือ?”
ก่อนหน้านั้นอยากรู้มาก “ยามนี้ไม่อยากรู้แล้ว” ตงฟางจั๋วส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะเลือกผู้ใด ข้าก็ไม่มีวันยอมแพ้”
นับว่าเขายังรู้ตัวอยู่บ้าง เขารู้ว่าวันนี้อย่างไรนางก็ไม่มีวันเลือกเขา แต่ขณะเดียวกันเขาก็ช่างไม่รู้ตัวเสียบ้างเลย รู้ทั้งรู้ว่านางไม่มีใจให้เขา กลับยังคิดจะยืนหยัดต่อไป
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย็นชา “วาจาประโยคนี้ของจิ้งอันอ๋อง ฟังแล้วช่างซาบซึ้งยิ่งนัก! หลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป แล้วท่านยังยืนหยัดในคำเดิม เช่นนั้นหม่อมฉันก็จักพิจารณาภาพลักษณ์ของท่านอ๋องในใจหม่อมฉันใหม่!”
หลังผ่านพ้นวันนี้ไป? เดิมตงฟางจั๋วควรดีใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันและเย็นชาของนาง ในใจกลับรู้สึกกระวนกระวายอย่างไม่รู้สาเหตุ เขารู้สึกได้รางๆ วันนี้นอกเหนือจากพิธีคัดเลือกพระสวามีแล้ว ยังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีกด้วย!
“ซูเอ๋อร์…” เขาขานชื่อนางเสียงอ่อน ทว่ากลับถูกซูหลีตัดบทอย่างเย็นชา “ภายหน้าท่านอ๋องโปรดเรียกหม่อมฉันว่าซูหลีหรือไม่ก็ท่านหญิงหมิงซีเถิดเพคะ!
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าไม่ยอมรับ ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเขากุมนิ้วมือเรียวบางไว้แน่น ซูหลีออกแรงขัดขืนอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับมีแต่จะถูกกุมแน่นกว่าเดิม
นางเลิกคิ้วสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จิ้งอันอ๋องทรงปล่อยมือเถิดเพคะ! หม่อมฉันต้องไปถวายพระพรฮองเฮาแล้ว!”
“เช่นนั้นก็พอดีเลย ข้าก็กำลังจะไปถวายพระพรเสด็จแม่เช่นกัน พวกเราไปด้วยกัน” เอ่ยจบก็จูงมือนางเดินไปทางตำหนักด้านหลัง เพิ่งจะเดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็บังเอิญพบตงฟางเจ๋อที่เพิ่งออกมาจากห้องบรรทมของฮ่องเต้
ชำเลืองมองมือนางที่ถูกกุมไว้ สายตาของตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น ใบหน้าไร้อารมณ์ กล่าวยิ้มๆ “พี่รองเพิ่งจะไปถวายพระพรฮองเฮามาเมื่อครู่ เหตุใดจะไปถวายพระพรอีกครั้งเล่า? วันนี้เสด็จพ่อเสวยพระกระยาหารได้น้อยยิ่ง เพิ่งจะเรียกหมอหลวงให้ไปตรวจชีพจร พี่รองไม่ไปดูหน่อยหรือ?”
ด้วยเหตุผลที่ว่าองค์ฮ่องเต้ประชวร ตงฟางจั๋วไม่อาจเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกไปได้ เขากำมือซูหลีไว้แน่น ก่อนจะขมวดคิ้วคมเข้มเล็กน้อย “ข้าจะไปดูเสด็จพ่อสักหน่อย ซูเอ๋อร์ไปถวายพระพรเสด็จแม่เถิด อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป” เขาเปลี่ยนไปกุมไหล่ทั้งสองข้างของนาง ก้มหน้าเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับนาง น้ำเสียงจนใจเช่นนั้น ราวกับนางเป็นฝ่ายฉุดกระชากลากถูเขาให้ไปถวายพระพรฮองเฮาเป็นเพื่อนนางอย่างไรอย่างนั้น
ซูหลีเพียงรู้สึกขบขันยิ่งนัก ปัดฝ่ามือเขาออก ก่อนจะกระดกคิ้วมองหน้าเขา
“เชิญท่านอ๋องตามสบายเพคะ!”
ตงฟางจั๋วสายตาขรึมลง ยังอยากเอ่ยอะไร แต่เห็นสีหน้านางเย็นชาถึงเพียงนี้ จึงตัดสินใจยอมแพ้ ได้แต่จ้องตงฟางเจ๋ออย่างเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินจากไป
หลังจากเงาร่างของตงฟางจั๋วลับตาไป ซูหลีจึงค่อยเงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ อาภรณ์ผ้าต่วนสีน้ำหมึก สายคาดเอวหยก อกผายไหล่ผึ่ง ยืนอยู่ภายใต้แสงตะวัน สง่างามจนทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ คนผู้นี้สดใสเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวัน ราศีของกษัตริย์อันสูงส่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ผู้พบเห็นใจสั่นสะท้านตั้งแต่แรกพบอย่างควบคุมไม่ได้ หากว่ายามนี้ ใบหน้างดงามของเขาไม่เย็นชาเช่นนั้นละก็…
ซูหลีอึ้งงันไปเล็กน้อย เห็นเพียงสายตาคมปลาบดั่งนกเหยี่ยวของเขากำลังจดจ้องนิ้วมือที่กุมศิลาเลือดนกเพลิงของนาง
ศิลาเลือดนกเพลิง ของขวัญวันแต่งงานที่เขามอบให้ตงฟางจั๋วและหลีซู ทว่ากลับถูกตงฟางจั๋วยัดใส่มือนาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตงฟางจั๋วยึดมั่นถึงเพียงใด
ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของซูหลีกลับบังเกิดความรู้สึกลนลาน นางก้มหน้าลงโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่การตอบสนองที่นางควรมี! ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่การป้องกันตัว และการหยั่งเชิงระหว่างพวกเขา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
ในใจพลันสะท้าน ซูหลีรีบเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาอย่างนอบน้อม ตงฟางเจ๋อไม่เอ่ยอะไร ซูหลีครุ่นคิด ก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง “พระวรกายของฝ่าบาท…”
“ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่านั้น” ตงฟางเจ๋อตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่มองนางอีก ท่าทีเย็นชาเช่นนั้น ทำให้ช่วงเวลาทั้งหมดที่พวกเขาเคยเผชิญด้วยกันที่หลังหุบเขาจู๋หลีและความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นต่อหน้าหลุมศพของพระสนม กลับกลายเป็นห่างไกลเสมือนอยู่อีกโลก ราวกับเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
ซูหลีพลันรู้สึกขมขื่น ความรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกพลันบังเกิดในใจ นางยิ้มหยันกับตนเอง หลุบตากล่าวว่า “เช่นนั้นหม่อนฉันก็วางใจ หม่อมฉันยังต้องไปถวายพระพรฮองเฮา ทูลลาเจิ้นหนิงอ๋องเพคะ!”
ความเย็นชาของเขา นางเลือกที่จะตอบโต้ด้วยความเย็นชาที่มากกว่า
เอ่ยลาเสียงเรียบ ก่อนเดินเฉียดไหล่เขาไป สายตาที่หลุบต่ำ พลันมองเห็นนิ้วมือที่กำหมัดจนซีดขาวอยู่ใต้แขนเสื้อผ้าต่วน ซูหลีอึ้งงัน ฝีเท้าชะงักหยุดอย่างไม่รู้ตัว นางยังไม่ทันเงยหน้ามองเขา มือของนางกลับถูกฝ่ามือกว้างของเขากุมแน่นอย่างรวดเร็ว
สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลิ่นหวนชวนหอมของดอกหอมหมื่นลี้ลอยฟุ้งกลางอากาศ สายตาแปลกๆ ของเหล่าขันทีและนางกำนัลที่เดินผ่านทอดมองเข้ามา เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ราวกับไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น
เหมือนกับต้องการบีบศิลาเลือดนกเพลิงในมือนางให้แหลกละเอียด เขาบีบมือนางแรงมากจนน่าตกใจ นิ้วมือของนางถูกบีบจนเจ็บ แต่ซูหลีกลับไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย กระทั่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์สัมผัสเจ็บปวดที่ทำให้รู้สึกถึงการมีตัวตนเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ที่แท้ในใจเขา ไม่ได้สงบนิ่งดังที่นางเห็นภายนอก!
นางราวกับสัมผัสถึงคลื่นอารมณ์ที่ป่วนพล่านในใจของบุรุษผู้นี้ได้อย่างชัดเจนผ่านฝ่ามือที่กำแน่นขึ้นเรื่อยๆ ของเขา ความโกรธอันพลุ่งพล่าน ราวกับสตรีในดวงใจของเขาถูกชายอื่นหมายปองหรือล่วงเกิน
สัมผัสอ่อนหวานแผ่ปกคลุมหัวใจอย่างไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่ซูหลีรู้สึกว่าการถูกคนใส่ใจมันงดงามอย่างนี้นี่เอง! อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบางๆ
ไม่ต้องมีคำอธิบาย หรือวาจาใด ซูหลีเดินตามฝีเท้าของเขา จนมาถึงด้านนอกตำหนักเฟิ่งอี๋ซึ่งเป็นที่พำนักของฮองเฮา
ครั้นมาถึงตงฟางเจ๋อจึงปล่อยมือนาง เหล่านางในประจำตำหนักเฟิ่งอี๋รีบเข้าไปรายงานในห้อง เมื่อได้รับอนุญาตจากฮองเฮา ทั้งสองจึงเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน
ด้านในตำหนักตกแต่งหรูหรา ทุกซอกมุมแสดงถึงการยกย่องสรรเสริญต่อมารดาแห่งแผ่นดิน
ฮองเฮาที่มีสาวรับใช้คอยประคอง นั่งอยู่บนตั่งนุ่มที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าไหมขลิบทอง สวมอาภรณ์ประจำตำแหน่งฮองเฮา และรัดเกล้านกเพลิง นางแต่งกายด้วยชุดพิธีการเต็มยศ ขับเน้นให้ใบหน้าที่เลยวัยอ่อนเยาว์ไปนานแล้วดูเคร่งขรึมจริงจัง
“ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันๆ ปี!” ซูหลีกล่าวถวายพระพรตามธรรมเนียม ตงฟางเจ๋อกลับต้องทำเพียงยกมือประสานกลางหน้าอก “ลูกขอถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาในฐานะแม่ใหญ่ของเหล่าองค์ชาย ทุกคนที่มียศเป็นองค์ชายล้วนต้องเรียกนางว่าเสด็จแม่ ตงฟางเจ๋อขานเรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฟังดูไม่ฝืนใจแม้แต่น้อย ซูหลีอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง นึกได้ว่าเขาเพิ่งถูกฮองเฮาวางแผนเล่นงานจนเกือบต้องสู่ขอซูชิ่น ยามนี้พบหน้าฮองเฮา กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความคิดอันยากแท้หยั่งถึงของคนผู้นี้ เป็นเรื่องที่นางไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ
………………………………………………………