กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 123 ซูหลีเลือกพระสวามี (3)
ตงฟางเจ๋อสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองซูหลีคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ซูหลีทำเหมือนไม่เห็น หลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ก็เดินตรงไปนั่งประจำตำแหน่ง อีกสามคนที่เหลือเองก็แยกย้ายกันไปนั่งประจำตำแหน่งของตนเองเช่นกัน
บนพรมสีแดงผืนใหญ่มีโต๊ะและเก้าอี้วางไว้ แบ่งเป็นที่นั่งประจำตำแหน่งของแต่ละคน
ที่นั่งของซูหลีอยู่เหนือคนทั้งสี่ ใต้พระที่นั่งของฮ่องเต้ ใกล้กับตงฟางจั๋ว ยังคงเรียงลำดัตามความอาวุโสเช่นเดิม ที่นั่งของตงฟางเจ๋ออยู่ถัดจากตงฟางจั๋ว ฝั่งตรงข้ามของทั้งสอง คือหลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งและหยางเซียวองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน พวกเขาสองคนนั่งข้างกัน คนหนึ่งสุภาพอ่อนโยน สง่างามเหมาะสม คนหนึ่งท่านั่งไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไร้ท่าทีจริงจัง ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน แต่ครั้นมองไปอย่างนี้ กลับเจริญตาไปคนละแบบ
ในพิธีมีการดื่มฉลองกันอย่างต่อเนื่อง วาจาเกรงใจย่อมขาดไม่ได้ ระหว่างนี้ หยางเซียวกล่าวสรรเสริญความเจริญรุ่งเรื่องของนครหลวงแห่งแคว้นเฉิงไม่ขาดปาก “กระหม่อมได้ยินมานานว่าแคว้นเฉิงมีที่ดินอันมั่งคั่ง เจริญรุ่งเรือง ถูกชาวโลกขนานนามว่าเป็นแคว้นอันดับหนึ่ง ก่อนนี้ยังคิดว่าชาวโลกเยินยอเกินจริง ครานี้ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง จึงรู้ว่าสมคำร่ำลือ! เห็นได้ว่าฝ่าบาททรงปกครองบ้านเมืองอย่างมีคุณธรรม กระหม่อมเลื่อมใสยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้แย้มยิ้มเล็กน้อยเอ่ยว่า “องค์ชายสี่ยกย่องเกินไปแล้ว! แคว้นของข้าแม้ถือว่ารุ่งเรือง แต่ใต้ฟ้ายามนี้ หากกล่าวถึงเรื่องทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ เศรษกิจก้าวหน้า ย่อมต้องเป็นแคว้นติ้ง! องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งอยู่ที่นี่ด้วย ข้าย่อมมิกล้ารับคำสรรเสริญนั้นไว้!”
หลางฉ่างยกมือประสานตรงหน้า กล่าวอย่างเกรงใจ “ฝ่าบาททรงกล่าวชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แคว้นของเราแม้อาชีพเกษตรกรรมก้าวหน้าอยู่บ้าง กลับมีปัญหาเรื่องที่ดินมีจำกัด เทียบไม่ได้กับแคว้นเฉิงที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและอุดมสมบูรณ์ แคว้นเปี้ยนเองก็มีทุ่งหญ้าอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่มากมาย ยอดอาชาไม่เป็นสองรองผู้ใด แต่ละคนล้วนเป็นนักรบไร้เทียมทาน!”
คงเพราะถูกชมถึงเรื่องจริง หยางเซียวแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ท่าทางเบิกบานใจไม่น้อย
ฮ่องเต้หัวเราะตามเขา ชั่วขณะที่ทุกคนยกถ้วยสุราขึ้นดื่มฉลอง ซูหลีกลับเห็นประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตาของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว เร็วจนทำให้คิดว่าเป็นภาพลวงตา
หลังจากหมุนเวียนดื่มสุราหลายต่อหลายรอบ ฮ่องเต้วางถ้วยสุราลง หันมองซูหลีและโอรสทั้งสองของตนเอง หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ได้รับความกรุณาจากท่านทูตจากทั้งสองแคว้น สู้อุตส่าห์เดินทางมาไกลพันลี้เพื่อเข้าร่วมพิธีคัดเลือกพระสวามีของท่านหญิงแห่งแคว้นเรา ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก! แม้ว่าพิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้เดิมทีจัดขึ้นเพื่อโอรสทั้งสองของข้า แต่ในเมื่อรับปากว่าจะให้ท่านทูตจากทั้งสองแคว้นเข้าร่วมด้วย ข้าก็จะไม่มีทางตัดสินอย่างลำเอียงเด็ดขาด วันนี้ท่านหญิงเลือกพระสวามีล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของนาง ไม่ว่าสุดท้ายผู้ใดได้หัวใจท่านหญิงไปครอง ข้าก็หวังว่าท่านที่เหลือจะยอมรับ ไม่คิดเคืองขุ่น! ทุกท่าน เห็นว่าอย่างไร?”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเซียวคลี่ยิ้ม ตอบรับอย่างผ่าเผย ราวกับไม่ใส่ใจผลลัพธ์การคัดเลือกพระสวามีในวันนี้แม้แต่น้อย
ซูหลีกลัดกลุ้ม ตามหลักแล้วเขาเดินทางมาไกลถึงพันลี้ ไม่มีทางมาเพื่อร่วมพิธีอย่างเดียวแน่นอน
องค์รัชทายาทหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันมองซูหลีแวบหนึ่ง พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋วย่อมไม่กล้าเห็นต่างออกไป
ฮ่องเต้จึงหันไปทางซูหลี “หมิงซี คำถามสามข้อของเจ้า เริ่มถามได้แล้ว”
“เพคะ ฝ่าบาท!” ซูหลีลุกขึ้นค้อมกาย ยิ้มอย่างสง่างาม “ซูหลีรูปโฉมอัปลักษณ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท มีโอกาสพบปะกับทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้เพื่อเลือกคู่ครอง ซูหลีไร้ความสามารถ คิดคำถามขึ้นมาสามข้อ ขอท่านทั้งสี่โปรดชี้แนะด้วยเพคะ” นัยน์ตางามที่มีประกายแห่งความปราดเปรื่องสะท้อนชัด กวาดมองทั้งสี่คนอย่างแช่มช้าหนึ่งรอบ
หยางเซียวกระดกคิ้ว กล่าวว่า “หญิงงามเช่นท่านหญิงยังบอกว่ารูปโฉมอัปลักษณ์ เช่นนั้นสตรีใต้ฟ้ามิต้องใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า ไม่กล้าพบปะผู้คนหรอกหรือ?” น้ำเสียงของเขาแฝงแววหยอกเย้า ดึงดูดเสียงหัวร่อต่อกระซิกจากเหล่านางกำนัลด้านหลังได้เป็นอย่างดี
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ รู้แต่แรกว่าคนผู้นี้พูดจาไร้ขอบเขต จึงไม่ใส่ใจ เพียงยิ้มเย็น เอ่ยว่า “องค์ชายสี่กล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ!”
หยางเซียวคล้ายไม่สนใจรอยยิ้มเย็นชาของนางแม้แต่น้อย เพียงฉีกยิ้มกว้าง แล้วกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าคำถามของท่านหญิงคืออะไร? รีบบอกมาเถิด! ข้าจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว!”
ฟังจากวาจาเหมือนคนใจร้อน แต่ใบหน้าเขา กลับไม่เห็นแววร้อนใจหรือรำคาญแม้แต่น้อย
“องค์ชายสี่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!” หลางฉ่างยกมือขึ้นกางพัดในมือโบกไปมาเบาๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านหญิงเป็นสตรีรูปโฉมงดงามสูงสง่า คำถามที่คิดขึ้นมาก็คงน่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ทราบว่าคำถามแรกเป็นปริศนาหรือคำทาย?”
สตรีทั่วไปยามเลือกสามี ส่วนมากล้วนหนีไม่พ้นคำถามสองประเภทนี้
ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันเคร่งขรึมจริงจัง เหยียดหลังตรง ไม่ว่าจะเป็นปริศนาหรือคำทาย ล้วนไม่มีสิ่งใดยากเกินกำลังเขา หากกำหนดแพ้ชนะด้วยสติปัญญา บางทีเขาอาจมีโอกาสชนะอยู่หลายส่วน!
ตงฟางเจ๋ออ่านความคิดของตงฟางจั๋วออก มุมปากกระดกขึ้น รอยยิ้มเย้ยหยันฉาบไว้ในส่วนลึกของมุมปากที่มีเค้าโครงชัดเจน จนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ซูหลีคลี่ยิ้มบาง “องค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว! หากกล่าวถึงเรื่องอักษรงามสง่า ซูหลีมิกล้าเทียบองค์รัชทายาท! ทุกท่าน ณ ที่นี้ล้วนมีวิชาความรู้ สติปัญญาปราดเปรื่อง ซูหลีมีหรือจะกล้าแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ชำนาญ? ทุกท่านมารวมตัวกันในที่แห่งนี้ ล้วนมีวาสนาร่วมกับซูหลี ซูหลีเพียงต้องการฉวยโอกาสนี้แสวงหาความรู้เท่านั้น! ฉะนั้น วันนี้ซูหลีจึงบังอาจตั้งหัวข้อว่า ไม่มีดีหรือไม่ดี ไม่แบ่งสูงหรือต่ำ คำตอบของผู้ใดใกล้เคียงกับของหม่อมฉันมากที่สุด ซูหลีจะคารวะด้วยสุราเพคะ!” เอ่ยจบ ก็ค้อมกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ไม่วัดสติปัญญา เพียงตัดสินใจจากความพึงพอใจทั้งสิ้น วิธีการตัดสินเช่นนี้กลับแปลกใหม่และน่าสนใจ เหนือความคาดหมายของผู้คน พิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้ กลับสมเหตุสมผล เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับยากกว่าทดสอบปัญญาร้อยเท่า!
หลังจากอึ้งงัน กลุ่มคนก็พากันตื่นเต้นฮือฮา
ตงฟางเจ๋อมองไปที่นาง ม่านตาลึกล้ำเป็นประกายไหวระริก สิ่งที่ยากแท้หยั่งถึงมากที่สุดบนโลกใบนี้ ก็คือจิตใจของคน จะหาคนที่ใจตรงกับตนเอง ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่! แต่นางกลับต้องหาคนผู้นั้นจากหนึ่งในสี่คนนี้! การตั้งหัวข้อคำถาม เป็นเพียงการตัดสินอย่างยุติธรรมแค่ภายนอกเท่านั้น แท้จริงแล้วนางได้กุมสิทธิ์และคุณสมบัติของผู้ชนะไว้ในมือตั้งแต่แรกแล้ว !
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเบาๆ ในใจกลับลอบชื่นขม สายตาที่มองไปยังซูหลีเริ่มเปลี่ยนไป
ฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ยามนี้เริ่มกระสับกระส่าย ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับซูหลีจนยอมผิดกฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิธีคัดเลือกพระสวามีในวันนี้ เกรงว่าจะต้องเหนือความคาดหมายของนางไปมากแน่นอน
ซูหลีค่อยๆ เดินไปด้านหนึ่ง แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น ‘แปะ แปะ แปะ’ เสียงเล็กแหลมดังสามครั้ง นางกำนัลชุดเขียวสองนางก็รีบยกขาตั้งวาดภาพไม้สีแดงเข้ามาคนละตัว
บนขาตั้งวาดภาพมีม้วนภาพที่ถูกเข้ากรอบมาอย่างประณีตหนึ่งม้วน ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ซูหลีที่เมื่อครู่ยังบอกว่าไม่วัดเรื่องสติปัญญา ยามนี้นำภาพนี้ออกมาเพื่ออะไรกัน?
ซูหลีเดินไปยืนข้างขาตั้งวาดภาพ มือเรียวโบกหนึ่งที ภาพม้วนนั้นก็พลันกางออก ภาพทิวทัศน์งดงามตระการตาพลันปรากฏสู่สายตาผู้คน
ยอดเขาเขียวสลับกับกลุ่มเมฆขาว ลึกล้ำดังหุบเหว เบาบางดังกลุ่มหมอก ลอยคลอเคล้าอยู่ระหว่างแนวภูเขาที่สลับซับซ้อน ถึงแม้แมกไม้บุปผาอุดมสมบูรณ์ ทางเดินกลางภูเขากลับซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด ภาพนี้หากมองแวบแรกคล้ายภาพทิวทัศน์ทั่วไป ฝีมือการวาดถือว่าอยู่ระดับสูง ลายเส้นแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ การสื่อสารอารมณ์นับว่าไม่เลว ทว่ากลับมิใช่ผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่คล้ายพบเห็นได้ตามท้องตลาดทั่วไป
ทุกคนอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลายครั้ง ชั่วขณะหนึ่ง แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป โดยเฉพาะหยางเซียว องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน ประกายไหวระริกพาดผ่านดวงตา ท่าทางเหลาะแหละในยามปกติหายลับไปกับตา เขาจ้องภาพนั้นเขม็ง คล้ายจู่ๆ ก็ค้นพบสมบัติเข้า
หลางฉ่างปรบมือชื่นชม “เป็นภาพที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! เพียงลายเส้นไม่กี่เส้น ก็สามารถสื่อถึงท้องฟ้าผืนดินภูเขาและแม่น้ำได้อย่างดีเยี่ยมถึงเพียงนี้! ลายเส้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
………………………………………………………