กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 124 คำขู่ของฮ่องเต้ (1)
ตงฟางจั๋วชะโงกเข้าไปใกล้ๆ จ้องมองภาพนั้น และหันไปมองซูหลีที่ยืนอยู่อีกด้าน มองสลับไปสลับมาอย่างนี้อยู่หลายรอบ พลันเกิดความรู้สึกว่าคนและภาพเป็นหนึ่งเดียว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด “รอยหมึกยังใหม่อยู่ คล้ายเพิ่งถูกวาดขึ้นใหม่ ซูเอ๋อร์ ภาพนี้…ใช่เจ้าเป็นผู้วาดหรือไม่?”
ซูหลีสะดุ้ง ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วกล่าวว่า “จิ้งอันอ๋องประเมินซูหลีสูงเกินไปแล้วเพคะ! ซูหลีไม่มีความสามารถที่จะวาดภาพทิวทัศน์เช่นนี้ขึ้นมาได้!” เอ่ยจบก็เลื่อนสายตาออกไป ไม่คิดว่าจะสบเข้ากับสายตาของตงฟางเจ๋อที่ทอดมองมาพอดี
เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตาลึกล้ำดั่งบ่อน้ำ คล้ายคำลวงทั้งหมดไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
ซูหลีเพียงรู้สึกว่าหัวใจสั่นระรัว ไม่กล้าสบตานานๆ จึงลนลานหลบตา
ได้ยินหยางเซียวหัวเราะ แล้วเอ่ยถาม “ไม่ใช่ท่านหญิงวาด? เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใดเล่า?” เพียงแต่ยามนี้ ราวกับองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้ไม่แยแสสิ่งใดได้กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
ซูหลีไม่ตอบกลับหัวเราะ ก่อนกล่าวว่า “หม่อมฉันนึกว่าองค์ชายสี่จะถามถึงหัวข้อของหม่อมฉัน! แต่ดูเหมือน…องค์ชายสี่จะสนใจผู้ที่วาดภาพมากกว่า?” นัยน์ตานางคมปลาบจ้องมองหยางเซียวตรงๆ
หยางเซียวหัวเราะเสียงดัง “ท่านหญิงอาจไม่ทราบ แต่ก่อนข้าหาจิตกรหลายท่านมาวาดภาพเหมือนให้ข้า บุรุษรูปโฉมสง่างามเช่นข้า พวกเขากลับวาดได้ไม่ดีสักคน! เหอะ! วันนี้ได้เห็นภาพนี้ของท่านหญิง ข้ารู้สึกได้ว่าผู้ที่วาดภาพนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน! มิสู้ท่านหญิงแนะนำให้ข้ารู้จัก ให้ข้าพากลับไปยังราชวังแคว้นเปี้ยน เพื่อเป็นจิตรกรหลวง มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ?!” ถึงแม้เขากำลังคลี่ยิ้มกว้าง ทว่าสายตากลับเข้มขรึม
ซูหลีเริ่มสัมผัสได้ถึงความสามารถในการพูดเรื่อยเปื่อยของคนผู้นี้ วันนี้ยิ่งรู้สึกได้ว่าเขาพูดจาไร้สาระ ไม่อาจเชื่อได้สักประโยค จึงคลี่ยิ้มอ่อนๆ “ภาพนี้ซูหลีบังเอิญได้มาจากท้องตลาด ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใดวาด! เกรงว่าคงทำให้องค์ชายสี่ผิดหวังแล้ว ซูหลีชอบแนวคิดทางศิลปะของภาพนี้ จึงแต่งกลอนจากภาพนี้หนึ่งบท หัวข้ออยู่ด้านหลังภาพวาด ตอนนี้เชิญทั้งสี่ท่านแต่งกลอนจากภาพนี้ด้วยเพคะ”
เอ่ยจบ นางกำนัลก็รีบนำกระดาษ หมึก และพู่กันมาถวายให้คนทั้งสี่
ตงฟางเจ๋อจ้องมองแนวเขาที่ตัดกันไปมาในภาพ รู้สึกคล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน พลันค้นพบว่าทิศใต้มีชายฝั่งแนวหนึ่งที่ยังวาดไม่เสร็จ สายตาไหวระริก เขาหรี่ตาคล้ายกำลังครุ่นคิด
หลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งยกพู่กันจรดกระดาษก่อนเป็นคนแรก อักษรของเขาเหมือนผู้เป็นเจ้าของ สง่างามล่องลอย ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ผ่านไปไม่นาน กลอนบทหนึ่งก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษของเขา
“เขาตงติ้งโสมนัสสา สบสายตาเริ่มปีนป่าย
จิตลอยล่องตามห่านป่าไป ห่วงใยใจพะวงมิรู้วาย
ยามใดเล่าจักร่วมร่ำเมรัย เมามายฉลองสารทฤดู”
ซูหลีค่อยๆ อ่านจนจบ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเบาๆ กลอนบทนี้ประณีตงดงาม สื่อถึงอารมณ์หวนระลึกถึงบ้านเกิด แต่ว่า…
นางยังไม่ทันเอ่ยคำใด ก็ได้ยินฮองเฮากล่าวว่า “องค์รัชทายาทมีความคิดสร้างสรรค์ดังคาด กลอนบทนี้ความหมายลึกซึ้งกินใจ สัมผัสคล้องจองครบครัน เพียงแต่เหตุใดขาดไปสองวรรคเล่า?”
หลางฉ่างคลี่ยิ้มนิดๆ ตอบว่า “กระหม่อมความรู้ไม่ถึงขั้น จึงคิดได้เพียงหกวรรคนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ขายหน้าฮองเฮายิ่งแล้ว กระหม่อมยังมีเรื่องต้องขอความกรุณา อยากเชิญท่านหญิงช่วยเติมกลอนบทนี้ให้สมบูรณ์ ไม่ทราบว่าท่านหญิงคิดเห็นว่าอย่างไร?”
สายตาอ่อนโยนของเขาทอดมองมายังซูหลี อบอุ่นใกล้ชิด นัยน์ตาลึกล้ำซ่อนแววคาดหวังและโศกเศร้าไว้รางๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะอึ้งงัน เมื่อครู่เห็นเขายกพู่กันขึ้นจรดโดยไม่ต้องคิด คล้ายกลั่นออกมาจากใจ รู้สึกเพียงว่าในกลอนบทนี้อาจมีความคิดถึงบ้านเกิดแฝงอยู่รางๆ แต่ที่มากกว่านั้นคือกำลังรอคอย รอคอยว่าเมื่อใดญาติของเขาจะสามารถข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน!
ซูหลีหัวใจสะท้าน ใจรู้ดีว่าด้วยพรสวรรค์ของเขา แค่เขียนเพิ่มอีกสองวรรคจะยากสักเพียงไหนกันเชียว? แต่เหตุใดเขาจึงต้องให้นางเติมเต็มกลอนของเขาให้สมบูรณ์? ในใจรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ครั้งที่แล้วพบหลางฉ่าง เขาบอกใบ้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวนางไม่น้อย หรือเขากำลังสงสัยว่านางคือญาติของเขา? เมื่อคิดอีกครั้งก็รู้สึกว่าความคิดนี้ดูไร้สาระไปบ้าง
นางคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงถ่อมตนเกินไปแล้ว บทกลอนของท่านซูหลีมิกล้าแต่งเติมส่งเดช หวังว่าองค์รัชทายาทจะทรงให้อภัย” เอ่ยจบ นางก็ค้อมกายทำความเคารพอย่างสุดซึ้ง แสดงถึงการปฏิเสธอย่างนิ่มนวล หลางฉ่างสีหน้าขรึมลง แววตาผิดหวังเศร้าเสียใจยิ่งเด่นชัด
ตงฟางจั๋วลุกขึ้นมองหน้านางเงียบๆ เพียงแต่สายตานี้ของเขา เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ซูหลียกกลอนที่เขาแต่งขึ้นมากวาดสายตาอ่านหนึ่งรอบ ยังคงเป็นลายมือที่คุ้นเคย องอาจแข็งแกร่ง สะท้อนถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
“ตะวันฉายราตรีตื่น วิหครื่นร้องขับขาน
ท้องฟ้างามหลังพายุผ่าน เงาจารจับทาบทับท้องธาร
หมื่นบุปผามิทันเบ่งบาน แสงสายัณห์ทาขอบฟ้า
ป่าวร้องประกาศทั่วหล้า หันกลับมาใจว่างเปล่า…”
หันกลับมาใจว่างเปล่า…
สมองซูหลี พลันว่างเปล่าไปตามกลอนวรรคนั้น!
เขา…ท้ายที่สุดก็เสียใจ? เสียใจที่ไม่น่าไล่หลีซูออกจากจวนด้วยอารมณ์วู่วาม ทำให้ความโกรธแค้นและความอัปยศของเขาไร้ที่ระบายอย่างนั้นหรือ?
เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองทำผิดตรงที่ใด! เขายังคงคิดว่าความรู้สึกอันจริงใจของเขาถูกทำลายอย่างไม่ยุติธรรม!
เงยหน้ามองเขา ยามนี้ตงฟางจั๋วกำลังมองนาง สายตาเจ็บปวดรวดร้าว คล้ายกำลังระลึกถึงใบหน้าอันคุ้ยเคย หรือ ช่วงความทรงจำหนึ่งที่ผ่านไปแล้วผ่านตัวนาง
ซูหลีเพียงรู้สึกว่าหัวใจเจ็บแปลบ บาดแผลที่ไม่มีวันหายได้ก่อตัวไปแล้ว แม้รู้สึกผิดอีกเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ หรือที่ตงฟางจั๋วอยากครอบครองนางจนแทบคลั่ง เพราะต้องการเอานางไปแทนที่หลีซู เพื่อเติมเต็มความรู้สึกส่วนที่ขาดหายไป? หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่นานนางก็จะทำให้เขาเข้าใจ ว่าเขา ตงฟางจั๋ว ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย!
มุมปากกระดกยิ้มเย็นชา ซูหลีกล่าวชื่นชม “จิ้งอันอ๋องความสามารถด้านวรรณกรรมเป็นเลิศยิ่ง!”
ฮองเฮาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลอนนั้นไม่เลว เพียงเสียดาย เน้นเรื่องความรักหญิงชายมากไปหน่อย!”
พิธีคัดเลือกพระสวามี เดิมทีก็ควรเกี่ยวข้องกับความรักหญิงชายมิใช่หรือ? คนอื่นไม่รู้ แต่ซูหลีรู้ดีแก่ใจ ฮองเฮากำลังบอกเป็นนัยแฝง นางกำลังบอกซูหลีว่าตงฟางจั๋วเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึก!
คลี่ยิ้มบาง ซูหลีวางกระดาษลง แล้วรับกลอนขององค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนจากมือนางกำนัล
“ยอดเขาสูงจรดนภดล ในหนทางคดเคี้ยวยาวไกล
เมฆาขาวห่มฟ้ากระจ่างใส หมอกหม่นไอฟุ้งแผ่กำจาย
หมื่นหุบเขาธารเรียงราย พร่ำเพรียกไปเพียงลำพัง
อ้างว้างไร้ซึ่งคนฟัง กระทั่งใจยังมอบให้ความเหงา”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในใจก่อนหันไปมองหยางเซียว เสี้ยววินาทีที่สบกับสายตาร้อนรุ่มคู่นั้น นางค้นพบว่าในดวงตาของอีกฝ่ายมีประกายไหวระริกพาดผ่าน คล้ายมั่นใจสิ่งที่ไม่อาจมั่นใจมาโดยตลอด และซูหลีเองก็ได้คำตอบที่นางต้องการแล้วเช่นกัน เพียงแต่คำตอบนี้ กลับทำให้ความสงสัยในใจนางเพิ่มพูนมากขึ้น
ภาพวาดนี้เป็นภาพที่นางวาดเลียนแบบภาพที่เสด็จแม่เคยวาดในความทรงจำ เสด็จแม่ยังแต่งกลอนจากภาพ เป็นกลอนที่ตรึงใจนางยิ่งนัก นางรู้สึกฉงนฉงายจึงถามเหตุผล เสด็จแม่มักจะเลี่ยงตอบนาง ยามนั้นนางรู้สึกว่าเสด็จแม่มีความลับมากมาย แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เปี้ยน! กลอนขององค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน และกลอนของเสด็จแม่ ใกล้เคียงกันถึงแปดส่วน!
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ อดไม่ได้ที่จะอ่านกลอนบทนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เอ่ยอะไร ทุกคนเห็นสีหน้านางผันเปลี่ยนไม่หยุด ไม่เอ่ยวาจาใด ในที่สุดก็มีคนอดรนทนไม่ไหว
………………………………………………………