กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 125 คำขู่ของฮ่องเต้ (2)
“กลอนบทนี้ขององค์ชายสี่เขียนบรรยายได้ยอดเยี่ยมยิ่ง งดงามราวกับมีชีวิต นึกไม่ถึงเจ้าอายุยังน้อย กลับมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเช่นนี้ เป็นข้าที่มองเจ้าผิดไป” เสียงของฮองเฮาดังมา ปลุกซูหลีที่กำลังใจลอยให้ตื่นจากภวังค์
“เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? ฮองเฮา เช่นนั้นพระองค์ก็คิดว่าหม่อมฉันกับท่านหญิงเหมาะสมกันใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!” หยางเซียวคลี่ยิ้มกว้างอย่างไม่แยแส รอยยิ้มที่หางตามีเสน่ห์ชวนหลงใหล เหลือบมองซูหลี หัวเราะร่าแล้วเอ่ยขึ้นอีก “ขอเพียงท่านหญิงยอมแต่งเป็นชายาของข้า ภายหน้าต้องได้เห็นความสามารถอื่นๆ ของข้าที่ไม่เคยเห็น ท่านหญิงต้องประหลาดใจ และได้เปิดโลกกว้างแน่นอน!”
วาจานี้เอ่ยอย่างจองหอง ไร้ท่าทีจริงจัง แม้แต่ตงฟางเจ๋อก็ยังหน้าขรึมลงหลายส่วน
แววกระอักกระอ่วนพาดผ่านใบหน้าฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็น แล้วกล่าวว่า “วันนี้ท่านหญิงเลือกพระสวามี ข้าเคารพความปรารถนาของนางเสมอ หากท่านหญิงคิดเช่นนั้น ข้าย่อมยินดีกับองค์ชายสี่อยู่แล้ว”
ฮองเฮาวางตัวเหมาะสม ไร้ข้อผิดพลาดทุกสถานการณ์ดังคาด ซูหลีเงยหน้ายิ้มบาง “ฮองเฮาทรงพระปรีชา ซูหลีขอบพระทัยในน้ำพระทัยอันกว้างขวาง บทกลอนของทั้งสามท่านล้วนยอดเยี่ยมแตกต่างกันไป ทำให้ซูหลีได้เปิดโลกกว้างจริงๆ ทว่ายังมีกลอนของเจิ้นหนิงอ๋องที่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ตัดสินตอนนี้ยังเร็วไปเพคะ”
ตงฟางเจ๋อรีบสั่งให้คนนำกลอนไปมอบ คลี่ยิ้มกว้างขึ้น “เชิญท่านหญิงพิจารณา”
อักษรของตงฟางเจ๋อ ดูคล้ายเป็นอิสระไร้การผูกมัด แท้จริงแล้วซ่อนความเผด็จการไว้อย่างมิดชิด ลายลักษณ์อักษรสะท้อนถึงรัศมีแห่งราชามากที่สุด สิ่งที่ต่างจากสามท่านก่อนหน้าก็คือ กลอนของเขาเป็นกลอนสี่วรรค
“วสันตฤดูบุปผาบานเต็มทาง เขาสูงสล้างซ้อนสลับเหลื่อมล้ำ
เทียนเหมินแตกเป็นสองตามฟากลำนำ เห็นเพียงงำเงาเหงาเปลี่ยวบนผืนน้ำใส”
ซูหลีสะท้านใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง
เทียนเหมินแตกเป็นสอง! เทียนเหมินนั้นเป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ ณ เขตแดนระหว่างแคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิง ในประวัติศาสตร์ทั้งสองแคว้นเคยทำสงครามกันหลายครั้ง เทียนเหมินจึงถูกเปลี่ยนเจ้าของบ่อยครั้ง นอกเมืองเทียนเหมินมีแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งนามว่าปี้กู ในอดีตถูกขนานนามว่าเป็นชัยภูมิที่มีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ ยากทลายข้ามไปได้ กลอนบทนี้ภายนอกแสดงถึงอารมณ์สุนทรี แต่กลับมีความหมายแอบแฝง หรือเขา…มองจุดประสงค์ของภาพออก หรือว่า… มีเจตนาอื่น?!
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หยางเซียว องค์ชายสี่ผู้ไม่เคยแยแสสิ่งใดผู้นั้น ยามนี้สีหน้าดูแปลกไปเล็กน้อย
“กลอนดี!” องค์รัชทายามแห่งแคว้นติ้งปรบมือกล่าวชม “ได้ยินมานานว่าแคว้นเฉิงนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องการทหารมากกว่าวรรณกรรม แต่วันนี้ท่านอ๋องทั้งสองกลับแสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านวรรณกรรมอันยอดเยี่ยม ไม่ธรรมดา หลางฉ่างเทียบไม่ได้จริงๆ!”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างสงบเยือกเย็นดังเดิม “องค์รัชทายาทกล่าวชมเกินไปแล้ว! ข้าเพียงประพันธ์ขึ้นมาตามความรู้สึก จะเทียบกับอารมณ์ลึกซึ้งที่ถูกซ่อนไว้ในกลอนขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?!” เขากระดกคิ้วเบาๆ คล้ายต้องการบ่งชี้ถึงความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดที่ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็ฟังออก
องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งสายตาไหวระริก สีหน้าไม่เปลี่ยน ยิ้มถ่อมตนก่อนกล่าวว่า “ขายหน้าเจิ้นหนิงอ๋องแล้ว!”
“มิกล้า!” ตงฟางเจ๋อยิ้มและยกถ้วยสุราไปทางเขา “ข้าขอให้องค์รัชทายาทสมปรารถนา ครอบครัวพร้อมหน้าโดยเร็ว!”
คำอวยพรนี้ฟังดูแปลกประหลาด หลังจากพิธีเลือกพระสวามีจบลง ไม่ว่าเขาจะถูกซูหลีเลือกเป็นพระสวามีหรือไม่ องค์รัชทายาทก็ไม่มีทางรั้งอยู่ที่แคว้นเฉิงเป็นเวลานาน ทันทีที่กลับแคว้น เขาก็จะอยู่พร้อมหน้ากับคนในครอบครัวแล้ว แล้วยังต้องอวยพรเป็นพิเศษไปไย? แต่หลางฉ่างกลับสายตาเรียบขรึม ยกถ้วยสุราเอ่ยขอบคุณ “น้อมรับคำอวยพรของเจิ้นหนิงอ๋อง สุราถ้วยนี้หลางฉ่างขอคารวะท่านอ๋อง!”
ทั้งสองแหงนหน้ากระดกสุรารวดเดียวพร้อมกัน
ทุกคนเห็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน เดิมทีสุราถ้วยนี้ควรรอให้ซูหลีเป็นผู้ดื่มเพื่อตัดสินแพ้ชนะระหว่างทั้งสี่คน แต่พวกเขาสองคนกลับยกดื่มจนหมดเช่นนี้!
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววไม่พอใจพาดผ่านดวงตา
ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็รีบกล่าวตำหนิ “เจ๋อเอ๋อร์! ท่านหญิงหมิงซียังไม่ได้เลือกผู้ชนะ เหตุใดเจ้าจึงดื่มสุราก่อนเล่า?”
ตงฟางเจ๋อยังคงกระดกยิ้มมุมปาก เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เสด็จแม่กล่าวสั่งสอนได้ถูกต้อง! ล้วนโทษลูกที่ไม่รอบคอบ ลูกขอดื่มคารวะท่านหญิงหนึ่งถ้วย หวังว่าท่านหญิงจะให้อภัย” เขารีบลุกยืน หันไปค้อมกายให้ซูหลีเล็กน้อย ก่อนจะยกถ้วยสุราดื่มจนหมด
ซูหลีอึ้งงัน เขาสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ราวกับเดาได้แต่แรกว่าหัวข้อนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อใคร ไม่สนใจผลแพ้ชนะ บุรุษผู้นี้ความคิดลึกล้ำและกว้างไกล อนาคตยากคาดเดา กลอนบทนั้นได้บ่งชี้ถึงความลับสวรรค์ ซูหลีอดรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้
ฮ่องเต้จ้องเขาด้วยสายตาเคร่งขรึมครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า “ทั้งสี่ต่างก็แต่งกลอนแล้ว ท่านหญิงพึงใจผู้ใด ตัดสินได้แล้วหรือไม่?”
ตงฟางจั๋วมองซูหลีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง นิ้วมือเรียวยาวจับถ้วยสุราจนแทบทนรอไม่ไหว ตั้งตารอวาจาของนางเพียงประโยคเดียว
ซูหลีค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “กลอนของหม่อมฉันอยู่ด้านหลังภาพแล้วเพคะ” เอ่ยไป นางก็พลิกให้เห็นอีกด้านของภาพทิวทัศน์ กลอนบทหนึ่งพลันประจักษ์สู่สายตา
บรรพตสูงจรดนภดล บนหนทางคดเคี้ยวทอดยาว
เมฆาขาวลอยห่มเวหาหาว หมอกหม่นพราวผุดแผ่กำจาย
หมื่นหุบเขาธาราเรียงราย เสียงฤทัยเพรียกเปลี่ยวเอกา
เงี่ยหูฟังเสียงจันทรา ใจข้านั้นแสนเดียวดาย
ทุกคนต่างตะลึงงัน นางค่อยๆ เงยหน้ามองใบหน้าประหลาดใจของผู้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งด้านบน กล่าวว่า “หม่อมฉันขอบังอาจ…ให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินเพคะ”
บนหออวิ๋นเยียนพลันมีสายลมเย็นเยียบพัดผ่าน ไม่รู้รังสีเย็นเยือกพัดพามาจากที่ใด แผ่ปกคลุมส่วนลึกของหัวใจผู้คนทันที
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ฮ่องเต้ ผู้ชนะของหัวข้อนี้นั้นชัดเจนถึงเพียงนี้ ชัดเจนจนถึงขั้นทำให้ผู้คนคิดว่าทั้งสองลอบตกลงกันลับหลังเพื่อตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา!
ยามนี้ ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักเงียบงันไร้เสียง ทุกคนล้วนพูดไม่ออก รอเพียงวาจาประโยคเดียวของฮ่องเต้
“ดี!” สายตาของฮ่องเต้เย็นชา ปากกลับเอ่ยว่า “องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนได้คะแนนแรกไป ขอแสดงความยินดี เจ้ากับท่านหญิงเกิดปีเดียวกัน มีใจตรงกันดังคาด!”
มีใจตรงกัน! สี่คำนี้ราวกับเข็มทิ่มแทงหัวใจตงฟางจั๋ว! เขากำถ้วยสุราในมือแน่น เพราะออกแรงมากไปจึงสั่นเล็กน้อย แก้วในมือพลันแตกคาฝ่ามือใหญ่!
สุราหอมในถ้วยและรอยเลือดสีแดงสดกระจายเป็นวงกว้าง ทุกคนตกตะลึง นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังตกใจทิ้งตัวลงคุกเข่าทันที ฮองเฮาหน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจควบคุม ลุกขึ้นร้องเสียงร้อนรน “จั๋วเอ๋อร์! เจ้าทำอะไร…” หันหน้าไปตวาดเสียงเกรี้ยว “พวกเจ้ายืนอึ้งอะไรกันอยู่? เรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
“เพคะ!” เหล่านางกำนัลรับคำอย่างลนลาน กำลังจะออกคำสั่งให้ตามหมอหลวง ตงฟางจั๋วกลับขว้างเศษแก้วในมือทิ้ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ไม่ต้อง!”
เขาจับจ้องใบหน้าซูหลีไม่วางตา ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดเอ่อล้นในดวงตา หากเป็นตงฟางเจ๋อ เขาอาจไม่รู้สึกว่ายากจะรับได้ถึงเพียงนี้ แต่องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน…เขาและนางรู้จักกันเพียงไม่นาน กลับมีใจตรงกันเช่นนั้นหรือ?! ช่างน่าขันยิ่งนัก!
“นำสุรามา!” ตงฟางจั๋วตะโกนสั่งเสียงดัง
นางกำนัลตัวสั่นก้าวเข้ามา นำสุราถ้วยใหม่มาถวายทันที ตงฟางจั๋วไม่พูดอะไร แหงนหน้าดื่มสุราจนหมด ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม ฮองเฮาเห็นท่าไม่ดี รีบเอ่ยห้ามปราม “จั๋วเอ๋อร์!” นางส่งสายตาบอกใบ้ให้เขาหยุดแต่เพียงเท่านี้ อย่าได้ทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติไปมากกว่านี้!
ตงฟางจั๋วรู้ดีแก่ใจ ยามนี้ไม่ใช่เวลาระบายความหงุดหงิดในใจ แต่เขาทนไม่ได้! ซูหลี เหตุใดนางถึงทำกับเขาอย่างนี้? เพราะเหตุใด?
กำถ้วยสุราไว้แน่น คล้ายต้องการบีบมันให้แหลกคามืออีกครั้ง เขาพยายามข่มกลั้นสุดชีวิต ห้ามตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป ซูหลีดวงตาไหวระริก เดินเข้าไปเงียบๆ นิ้วมือเรียวจับถ้วยสุราในมือเขาเบาๆ
………………………………………………………