กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 126 คำขู่ของฮ่องเต้ (3)
“ไยจิ้งอันอ๋องจึงทำเช่นนี้? วัตถุแหลมคมทำร้ายผิวกาย สุราแรงเป็นผลเสียต่อร่างกาย ทั้งสองสิ่งล้วนไม่ส่งผลดี หัวข้อนี้ที่กลอนขององค์ชายสี่คล้ายกับกลอนของซูหลีถึงเพียงนี้ มิใช่สิ่งที่ซูหลีคาดฝันไว้เช่นกัน”
ตงฟางจั๋วจ้องหน้านางเขม็ง กลีบปากหนาเม้มเป็นเส้นตรง
ซูหลีออกแรงที่มือ สุราถ้วยนั้นก็หลุดจากมือเขามาอยู่ในมือนาง “หากจิ้งอันอ๋องดื่มจนเมามาย อีกสองหัวข้อที่เหลือ ก็ไม่อาจตอบได้อีกไม่ใช่หรือเพคะ?”
ฉากสำคัญยังไม่ทันเริ่มต้น ตัวละครสำคัญเช่นเขาจะเมามายไปก่อนได้อย่างไรกัน?!
ซูหลีกล่าววาจาอย่างเป็นธรรมชาติ คิ้วงามงอนคลี่ยิ้มเบาๆ ไร้ท่าทีเกี้ยวพาราสี ตงฟางจั๋วอึ้งงัน ท่าทางของนางในยามนี้ ทำให้ความหงุดหงิดในใจพลันหายไปจนสิ้น เขามองดูนางอย่างตะลึงงัน เพียงรอยยิ้มเดียว รอยยิ้มที่ไม่ได้มีความอบอุ่นแฝงอยู่สักนิด ก็ทำให้ไอสังหารรอบกายเขาจางหายไปในพริบตา ตงฟางจั๋วทอดถอนใจไร้เสียง “ขอบใจท่านหญิงที่เป็นห่วง”
คนที่เมื่อครู่ยังโกรธเกรี้ยว ยามนี้กลับเอ่ยวาจาด้วยเสียงอ่อนโยนถึงเพียงนี้! แม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็สีหน้าเปลี่ยนผันแตกต่างกันไป
“ท่านหญิงเลือกพระสวามี แตกต่างดังคาด! แม้แต่พี่รองยังต้องยอมศิโรราบ!” ตงฟางเจ๋อจิบชาอย่างผ่อนคลาย เทียบกับตงฟางจั๋วที่ระเบิดโทสะอย่างรุนแรง แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งเขาข่มกลั้นอารมณ์ได้ดีอย่างนี้ ตงฟางจั๋วยิ่งนึกหงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน “ข้าไม่เชื่อว่าคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพบซูหลีเพียงครั้งเดียวจะมีใจตรงกันจริงๆ องค์ชายสี่เพียงโชคดีเท่านั้น”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะ “วาจาของพี่รองก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ข้าเชื่อว่าคนอย่างท่านหญิงไม่มีทางกุเรื่องสร้างภาพหลอกลวงแน่นอน!” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้น ราวกับเชื่อใจและเข้าใจในตัวนางอย่างถึงที่สุด
ซูหลีหัวใจสะท้าน นัยน์ตาเย็นชาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน นางมองเขา อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมฝาด “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเชื่อใจซูหลีถึงเพียงนี้ ซูหลี…ซาบซึ้งยิ่งนักเพคะ!”
โลกกว้างใหญ่ ผู้คนมากมาย จะมีสักกี่คนที่อยากเข้าใจเจ้าจากใจจริง? และจะมีสักกี่คนที่เชื่อใจเจ้าอย่างหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง? ทว่าตงฟางเจ๋อ ยื่นมือช่วยเหลือนางนับครั้งไม่ถ้วน เผยความในใจต่อนางก็หลายหน โดยไม่รู้ตัว เขาเข้าใจนาง รู้จักนางอย่างถ่องแท้มาเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งยังยินดี…ที่จะเชื่อใจนางด้วย ซูหลีรู้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางไม่ได้เป็นแค่สหายตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยามนี้มีเรื่องสำคัญกว่าต้องคิด ไม่มีเวลาให้นางใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ ระหว่างตนเองกับเขา
ซูหลียกกาสุราขึ้น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหยางเซียว เติมสุราให้เขาเต็มถ้วย ก่อนเอ่ยเป็นพิธี “หม่อมฉันขอเชิญองค์ชายสี่ ดื่มสุราถ้วยนี้เพคะ!”
องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนเองก็คล้ายไม่อยากเชื่อ สายตาจับจ้องไปยังกลอนบทนั้น อ่านแล้วอ่านอีก แล้วกล่าวอย่างตกตะลึง “มีใจตรงกับท่านหญิง ข้าย่อม…รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพียงประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น! ท่านหญิง คราวนี้เจ้าเชื่อหรือยังว่าเจ้ากับข้าเป็นคู่แท้กัน?”
พูดได้ไม่ถึงสองประโยค รอยยิ้มปลิ้นปล้อนของเขาก็กลับมาฉายอยู่บนใบหน้าอีกครั้ง ซูหลีเอือมระอา ทำได้เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “หากองค์ชายตอบคำถามอีกสองข้อที่เหลือได้อย่างนี้เช่นกัน ซูหลีย่อมเชื่อเพคะ”
หยางเซียวกล่าวอย่างดีใจ “หากทำอย่างนั้นแล้วข้ากลายเป็นคนรู้ใจของท่านหญิงได้จริง ภายหน้าข้าจะปฏิบัติต่อท่านหญิงดังธิดาเทพผู้สูงศักดิ์ ไม่มีวันทำลายน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน!”
ไม่รู้เพราะตื่นเต้นดีใจเกินเหตุหรือไม่ น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่มั่นคง แต่สายตาที่มองซูหลีกลับร้อนรุ่มและบีบคั้นกว่าเดิม ราวกับกำลังรอคอยการตอบรับจากนางอยู่
ตงฟางจั๋วยิ้มหยัน กล่าวว่า “ธิดาเทพ? ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? ข้าจำได้ว่าแคว้นเปี้ยนมีลัทธิหนึ่งนามว่าลัทธิธิดาเทพ ผู้นำของลัทธิถูกขนานนามว่าธิดาเทพ ได้ยินว่าตัวตนของธิดาเทพนั้นลึกลับ จิตใจโหดเหี้ยม สังหารคนโดยไร้เหตุผล…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาพลันชะงัก สายตาคมปลาบเย็นเยียบ ถามว่า “องค์ชายสี่นำท่านหญิงของแคว้นข้าไปเทียบกับธิดาเทพของแคว้นท่าน หมายความอย่างไรกัน? หรือว่า ดื่มสุราไปไม่กี่ถ้วยก็เมามายเสียแล้ว?”
ทุกคนอึ้งงัน ถึงแม้รู้ดีว่าเขาตั้งใจหาเรื่ององค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนเพราะเรื่องเมื่อครู่ แต่กลับไม่มีใครห้ามปราม
หยางเซียวกลับไม่แก้ตัว ตรงกันข้ามเพียงเหล่มองตงฟางจั๋วแวบหนึ่ง หัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “สุราของแคว้นท่าน รสชาติหอมหวานก็จริง ทว่าหากเทียบกันเรื่องความแรง กลับสู้สุราของแคว้นข้าไม่ได้!” เขาหันกลับมามองหน้าซูหลีอีกครั้ง ยิ้มจนตาหยี สีหน้ากลับจริงจังอย่างที่สุด “ข่าวลือในยุทธภพจะเชื่อหมดได้อย่างไร? ท่านหญิงอย่าไปฟังข่าวลือในท้องตลาด ในแคว้นของข้า ธิดาเทพเป็นบุคคลสูงศักดิ์! หากท่านหญิงไม่เชื่อ ติดตามข้ากลับไปวังเมื่อใดย่อมกระจ่างทุกเรื่อง!”
ซูหลีสีหน้าไม่เปลี่ยน เดินกลับไปนั่งอย่างสงบนิ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “หากอยากให้หม่อมฉันติดตามองค์ชายสี่กลับไป เช่นนั้นอีกสองหัวข้อที่เหลือ หวังว่าองค์ชายจะพยายามตอบอย่างเต็มที่นะเพคะ”
หยางเซียวปรบมือ กล่าวอย่างเบิกบาน “ดี! ท่านหญิงใจถึงดังคาด เชิญ!”
ซูหลีค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มอ่อนหวานทอดมองคนทั้งสี่ พลันนั้น ก็หันไปกล่าวกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท วันนี้ในพิธีคัดเลือกพระสวามี หม่อมฉันได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นจากพระองค์ หม่อมฉันซาบซึ้งใจอย่างสุดแสนจริงๆ เพคะ”
ทุกคนตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ นางพูดอย่างนี้เพื่อการใด ชั่วขณะหนึ่งสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ใบหน้านาง
ซูหลีสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยเสียงจริงจัง “ทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นมังกรในฝูงชน มีความสามารถล้นฟ้า พลิกมือเรียกเมฆ คว่ำมือเรียกฝน ความเป็นอยู่ของสามัญชนล้วนอยู่ในมือทุกท่าน ซูหลีขอบังอาจหยิบยืมโอกาสนี้ ขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองให้เป็นสุขเพคะ!”
ขณะเอ่ย นางกำนัลที่อยู่ข้างหลังก็ถือถาดรองเดินเข้ามา ในถาดมีถุงผ้าต่วนขนาดเท่าฝ่ามือสี่ถุง ลวดลายของถุงผ้า เหมือนกับถุงผ้าที่นางได้มาจากโลงศพในวันนั้นทุกประการ
องค์รัชทายาทสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่กลับไม่เอ่ยวาจาใด
ซูหลีกล่าวว่า “ตรงนี้มีถุงผ้าต่วนอยู่สี่ถุง ท่านทั้งสี่โปรดเลือกของสองสิ่ง เพื่อใส่เข้าไปในถุงผ้าของตนเอง”
นางกำนัลนำถุงผ้าต่วนสี่ใบมามอบให้ทั้งสี่คนคนละใบ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งกำถุงผ้าต่วน เอ่ยถามด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ของสองสิ่ง? มีเงื่อนไขใดหรือไม่?”
ซูหลีดวงตาเป็นประกาย เตอบเสียงจริงจัง “เพียงเป็นสิ่งของที่ทุกท่านคิดว่าสามารถสร้างความสุขให้แก่ไพร่ฟ้าได้ก็พอเพคะ!”
สร้างความสุขให้แก่ไพร่ฟ้า! นี่ไม่เหมือนหัวข้อที่ออกโดยสตรีทั่วไป ทว่าหัวข้อเช่นนี้ กลับเหมาะสมกับพวกเขาทั้งสี่ที่สุดแล้ว อนาคตพวกเขาล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดิน แม่น้ำและภูเขาล้วนอยู่ในกำมือ เช่นนั้นความเป็นอยู่ของไพร่ฟ้า ก็จะกลายเป็นโจทย์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา!
ทุกคนสายตาเป็นประกาย พยักหน้าคลี่ยิ้ม หลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ทั้งสี่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินลงจากหออวิ๋นเยียนไปเตรียมสิ่งของ
ฮ่องเต้จ้องมองซูหลี หรี่ตาเล็กน้อย เขาเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าดวงชะตาของนางบนกระดาษที่ถูกเผาทิ้ง จะต้องกลายเป็นจริงในสักวัน ด้วยเหตุนี้ เขาไม่มีทางยอมให้นางมีโอกาสแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่โอรสตนเองแน่นอน! ทว่า… เมื่อนึกถึงการกระทำของนางเมื่อครู่ สายตาของฮ่องเต้พลันเย็นเยียบ ขานเรียก “ท่านหญิงหมิงซี!”
“เพคะ! ฝ่าบาท!” ซูหลีหมุนกายรับคำ ยังไม่ทันค้อมกายถวายบังคม สายตามคมปลาบคู่หนึ่งก็ตวัดมองมา ซูหลีชะงักงัน รีบคุกเข่าทันที
ฮ่องเต้ไม่ได้บอกให้นางลุกขึ้น กลับจ้องมองนางครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “กลอนบทนั้น เจ้าเป็นผู้แต่งเองจริงหรือ?”
………………………………………………………