กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 128 พาเจ้ากลับแคว้นไปเป็นองค์หญิง (1)
ซูหลีพลันบังเกิดความสงสัย เพียงรู้สึกว่าท่าทีของฮ่องเต้แปลกประหลาด เอ่ยกันตามจริงแล้ว นางเป็นเพียงบุตรีจวนอัครเสนาบดีที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเท่านั้น นางแต่งให้ผู้ใด สำคัญกับฮ่องเต้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ภาพใบหน้าของหลินเทียนเจิ้งพลันผุดขึ้นในสมอง คล้ายว่ากระดาษที่ถูกเผาแผ่นนั้น ได้เขียนความลับสวรรค์อันสะเทือนฟ้าดินเอาไว้!
ซูหลีรีบกล่าว “หมิงซีเข้าใจแล้วเพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!” เอ่ยจบก็เงยหน้าสบตาฮ่องเต้ตรงๆ แม้ทำเช่นนี้จะดูไร้มารยาท แต่นางกลับไม่เกรงกลัว ค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้ กล่าวอย่างหนักแน่น “ขอฝ่าบาทโปรดเชื่อใจซูหลี!”
ท่าทางนางซื่อตรง ทำให้ผู้คนไม่อาจสงสัย
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก กลับไม่ได้รู้สึกพึงพอใจด้วยเหตุนี้ เพียงแต่ ด้านล่างหออวิ๋นเยียนในยามนี้ ทั้งสี่คนที่ลงไปเตรียมสิ่งของสำหรับใส่ถุงผ้าต่วนได้ย้อนกลับมากันหมดแล้ว
ฮ่องเต้ทอดมองไปด้านล่างหอ พลางเอ่ยเสียงเข้ม “หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง! ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นแล้วจึงค่อยพบว่าฝ่ามือตนเองชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ฮ่องเต้โบกมือ สั่งให้คนนำขาตั้งวาดภาพไปเก็บ และอนุญาตให้ซูหลีกลับไปนั่ง ซูหลีเพิ่งจะนั่งลง ทั้งสี่ก็เดินขึ้นมาบนหออวิ๋นเยียนแล้ว กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพลันสลายตัว แสงตะวันรอบข้างทอแสงเฉิดฉาย ลมเย็นพัดผ่าน เมื่อทอดสายตามองออกไป ไม่เห็นนานาพืชผลเต็มสวน ก็เห็นใบไม้สีแดงทั่วภูเขา แมกไม้บุปผาอุดมสมบูรณ์ ยังคงเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามไม่เปลี่ยนแปลง
ฮ่องเต้สีหน้าไม่แสดงคลื่นอารมณ์ คลี่ยิ้มสง่าผ่าเผย ฮ่องเฮายิ้มบาง วางตัวเหมาะสม ซูหลีนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่ที่เดิม รอยยิ้มสง่างามเยือกเย็น ราวกับเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา
ทั้งสี่ต่างกลับไปนั่งที่ของตนเอง
หยางเซียวสั่งให้คนนำถุงผ้าต่วนไปมอบให้ซูหลีเป็นคนแรก ซูหลีเปิดออกดู ด้านในมีขนแผงคอม้าและทองคำ
แคว้นเปี้ยนเป็นดินแดนแห่งชนเผ่าบนหลังอาชา ขึ้นชื่อเรื่องม้าศึกและทักษะการขี่ม้าอันยอดเยี่ยม ว่ากันว่าในแคว้นของพวกเขา ไม่ว่าชายหรือหญิง คนแก่หรือเด็กเล็ก ขอเพียงขึ้นหลังม้า ก็ล้วนสามารถเข้าร่วมกองทัพได้ทั้งนั้น แคว้นเปี้ยนถือเป็นแคว้นที่เก่งกาจที่สุดด้านทหารม้า! ฉะนั้นม้าจึงเป็นรากฐานของการดำรงชีวิต เดินหน้าสามารถไล่ล่าศัตรู ถอยหลังสามารถปกป้องประเทศชาติ ส่วนเงินทองนั้นเป็นสิ่งที่ขาดแคลนในแคว้นเปี้ยน หยางเซียวใส่ทองคำไว้ในถุงผ้าต่วนเพื่อต้องการสื่อความหมายว่า…มีเงินบ้านเมืองย่อมอยู่เย็นเป็นสุข?
ซูหลีขมวดคิ้ว ได้ยินหยางเซียวอธิบายว่า “แม้ผืนดินแคว้นเปี้ยนของเรากว้างใหญ่ไพศาล แต่ขาดแคลนทรัพยากรยิ่ง ราษฎรอดอยากปากแห้ง หากพวกเรามีแก้วแหวนเงินทองมากกว่านี้ ก็สามารถซื้อเสื้อผ้าและอาหารจำนวนมาก ทำเช่นนั้นจึงจะปลอบขวัญราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขได้” สายตาเขาเป็นประกายระยิบระยับ สายตาเคลิ้มฝัน ราวกับแก้วแหวนเงินทองที่เขากล่าวถึงได้วางอยู่ตรงหน้าแล้ว
ทว่า เขาต้องการแก้วแหวนเงินทองจำนวนมาก เพียงเพื่อทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขจริงหรือ? เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้นกระมัง?!
ตลอดมาผู้คนในแคว้นเปี้ยนมีจิตใจทะเยอทะยาน ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยบัญชาการกองทัพให้โจมตีไปทางใต้ รุกรานแคว้นเล็กๆ อย่างไร้ความเกรงกลัว จุดเพลิงสงครามให้ลุกโชนในพื้นที่ราบ ปะทะกับแคว้นติ้งดั่งน้ำกับไฟอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเสบียงอาหารขาดแคลนจึงได้ถอยทัพกลับไป
ยามนี้เมื่อหยางเซียวเอ่ยถึงเรื่องอาหาร พาให้ผู้คนหวนนึกถึงเรื่องในอดีต องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้ที่สง่างามอ่อนโยนมาโดยตลอดสายตาพลันเย็นเยียบ กำถุงผ้าต่วนในมือแน่นโดยสัญชาตญาณ ซูหลีเงยหน้ามองเห็นบนอาภรณ์สีอ่อนของเขา ไม่รู้ไปเปื้อนเลือดสีแดงสดมาจากที่ใด ดูประหลาดยิ่งนัก
คนที่สองที่นำถุงผ้าต่วนมาส่งก็คือตงฟางจั๋ว ด้านในมีมังกรที่สลักขึ้นจากหยกและสว่านปลายแหลม
มังกร คือสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ มังกรหยกบ่งบอกถึงอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ องค์จักรพรรดิเฝ้ามองปฐพี ไม่มีผู้ใดไม่ยอมสยบใต้อำนาจ ที่แท้สิ่งที่เขาคิดคือสิ่งนี้ ซูหลียิ้มเย็นชาเล็กน้อย หยิบสว่านปลายแหลมขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้นางฐานะสูงส่ง กลับไม่รู้จักของสิ่งนี้ แต่สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่ซ่านอยู่รอบวัตถุที่ทำจากเหล็กชิ้นนี้
“นี่คือวัตถุใดเพคะ?”
“นี่คือสิ่งที่เอาไว้ใช้ในการลงโทษประหารชีวิตของแคว้นเฉิง เรียกว่าสว่านเจาะถ้ำ การลงโทษประหารชีวิตวิธีนี้จะใช้สว่านปลายแหลมเช่นนี้เจาะรูนับไม่ถ้วนบนร่างกายคน จากนั้นก็เทน้ำผึ้งใส่ให้มดมารุมกัดกิน ทำให้นักโทษเจ็บจนตายทั้งเป็น ใช้ลงโทษผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายก่อบาปหนาโดยเฉพาะ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้คนยำเกรง” เสียงเยียบเย็นของตงฟางจั๋วดังมา ทำให้ซูหลีร่างกายสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
โทษประหารชีวิต! สายตาสงสัยระคนตกใจของนางทอดมองไปที่ตงฟางจั๋ว วิธีการโหดร้ายปานนี้ กลับเหมาะสมกับนิสัยโมโหร้ายของเขาอยู่หลายส่วน
“ปกครองแว่นแคว้นด้วยกฎหมาย รักษาไว้ซึ่งอำนาจขององค์จักรพรรดิ จัดระเบียบชีวิตของสรรพชีวิต ราษฎรต่างก้มหัวศิโรราบ!” ขณะที่วาจานี้ออกจากปากของตงฟางจั๋ว ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเต็มไปด้วยความมั่นใจล้นเหลือ รัศมีบางอย่างแผ่ปกคลุมรอบกาย เจิดจ้าแยงตา
“อืม ความคิดไม่เลว” ในสายตาของฮ่องเต้ มีรอยยิ้มแห่งความชื่นชมพาดผ่าน
ตงฟางจั๋วกล่าวอย่างดีใจ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงชมพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ฮ่องเต้เลื่อนสายตาไปมองโอรสอีกองค์ของตน ถามว่า “เจิ้นหนิงอ๋อง ของเจ้าเล่า?”
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้น ตอบว่า “ลูกเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เอาไปมอบให้ท่านหญิง” เอ่ยจบก็ยื่นถุงผ้าต่วนให้นางกำนัลที่อยู่ข้างหลัง นางกำนัลยื่นสองมือออกมารับ สีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด รีบนำไปน้อมส่งตรงหน้าซูหลีโดยเร็ว
ซูหลีเอื้อมมือไปรับ อึ้งงันเล็กน้อย ถุงผ้าต่วนสองถุงก่อนหน้าถูกยัดจนปูด น้ำหนักไม่เบา แต่ถุงผ้าต่วนของตงฟางเจ๋อไม่เพียงว่างเปล่าแบนราบ กลับเบาจนเหมือนไร้สิ่งของอยู่ด้านใน อดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างฉงนฉงาย กลับเห็นเขายกชาขึ้นจิบ มองนางด้วยรอยยิ้มบาง คล้ายบอกให้นางเปิดออกดูได้ตามสบาย
ซูหลีจึงไม่คิดมากอีก เปิดถุงผ้าต่วน พบกระดาษเพียงแผ่นเดียว
ทุกคนอึ้งงัน สายตาทุกคู่ต่างจดจ้องมาที่มือนาง ซูหลีชูกระดาษขึ้น ค่อยๆ เปิดออก เห็นเพียงบนกระดาษมีอักษรถูกเขียนไว้หนึ่งบรรทัด
บ่มเพาะศีลธรรมของตนเอง ดูแลบ้านช่องเรือนชาน
บนหออวิ๋นเยียนพลันเงียบงันไร้เสียง
สีหน้าย่ามใจของตงฟางจั๋วก่อนหน้านี้พลันจางหายไปทันที เขามองรอยยิ้มจากใจบนใบหน้าซูหลีซึ่งเกิดจากอักษรบรรทัดนั้นอย่างเหม่อลอย สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าครั้งนี้เขาแพ้อีกแล้ว! เขาไม่อยากยอมรับ จึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “น้องหก เจ้าทำผิดกฎแล้ว! ท่านหญิงบอกว่าต้องหาของสองสิ่ง! แต่เจ้ามีเพียงสิ่งเดียว!”
ตงฟางเจ๋อยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร เพียงทอดมองไปที่ซูหลี
บ่มเพาะศีลธรรมของตนเอง ดูแลบ้านช่องเรือนชาน ปกครองประเทศ ปราบปรามแผ่นดินให้สงบราบคาบ! ซูหลีค่อยๆ คลี่ยิ้ม ตงฟางจั๋วคิดว่าต้องปกครองแคว้นอย่างไร หยางเซียวคิดถึงการยกทัพไปรบกับแคว้นอื่น แต่ตงฟางเจ๋อกลับคิดถึงการปกครองไพร่ฟ้าโดยตรง! คำตอบของพวกเขาแต่ละคนน่าทึ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าคำตอบของหลางฉ่างนั้นคืออะไร?
“แต่บรรพกาลมา หากปรารถนาให้การแจ้งในวิสุทธิจิตสู่ใต้หล้า พึงปกครองบ้านเมืองก่อน ผู้ที่ปรารถนาในการปกครองบ้านเมือง พึงดูแลให้ครอบครัวสมบูรณ์ก่อน ผู้ที่ปรารถนาให้ครอบครัวสมบูรณ์ พึงบำเพ็ญตนก่อน ผู้ที่ปรารถนาจะบำเพ็ญตน พึงให้ใจเที่ยงตรงก่อน ผู้ที่ปรารถนาให้ใจเที่ยงตรง พึงให้ดำริศรัทธา ผู้ที่ปรารถนาดำริศรัทธา พึงใจจิตภาพแจ้งถึงที่สุดก่อน การแจ้งถึงที่สุดแห่งจิตภาพคือการตัดกิเลส กิเลสตัดแล้วจิตภาพจึงแจ้งในที่สุด
จิตภาพแจ้งถึงที่สุดแล้ว จึงดำริศรัทธา ดำริศรัทธาแล้ว ใจจึงเที่ยงตรง ใจเที่ยงตรงแล้วจึงบำเพ็ญตน บำเพ็ญตนแล้ว ครอบครัวจึงสมบูรณ์ ครอบครัวสมบูรณ์แล้วบ้านเมืองจึงรุ่งเรือง บ้านเมืองรุ่งเรืองแล้วใต้หล้าจึงสันติ…สร้างความสุขแก่ไพร่ฟ้าด้วยคำสอนของขงจื่อ เพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวของเจิ้นหนิงอ๋อง ล้วนสำคัญเหนือสรรพสิ่ง!” หลางฉ่างยกมือประสานตรงหน้า แสดงถึงความเลื่อมใส
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มบางๆ “องค์รัชทายาทกล่าวชมเกินไปแล้ว!”
‘ฮ่าๆๆๆ!’ ฮ่องเต้หัวเราะอย่างเบิกบาน “องค์รัชทายาทกล่าวได้ดี! สิ่งนี้สิ่งเดียวก็สำคัญเหนือสรรพสิ่งแล้วจริงๆ ท่านหญิงคิดเห็นเช่นไร?”
ซูหลีย่อมคลี่ยิ้ม ตอบว่า “เจิ้นหนิงอ๋องความคิดกว้างไกลสูงส่ง ซูหลีเลื่อมใสยิ่งนักเพคะ!”
“ดี!” พระพักตร์มังกรอิ่มเอมสำราญ หันไปยิ้มให้หลางฉ่าง “องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง เหลือท่านผู้เดียวแล้ว!”
………………………………………………………