กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 130 พาเจ้ากลับแคว้นไปเป็นองค์หญิง (3)
ตงฟางเจ๋อตอบโดยไม่เงยหน้า “เป็นพี่รองต่างหากที่ไม่เข้าใจนางเลยแม้แต่น้อย หากไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้หัวใจของนางอย่างแท้จริง!” เขาเงยหน้ากวาดตามองหยางเซียว หลางฉ่าง สุดท้ายก็หยุดที่ซูหลี มุมปากหยักยิ้มบางคล้ายมีคล้ายไม่มี เขาตั้งตารอหัวข้อสุดท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! บางทีหัวข้อนี้ อาจเป็นความปรารถนาที่แท้จริงของนางในวันนี้!
ซูหลีรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงหันมองมา ยามนี้ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นยิ้ม กล่าวว่า “ยินดีกับองค์รัชทายาทด้วย!”
รอยยิ้มนั้นของเขาคล้ายไม่ใส่ใจการเลือกของนางแม้แต่น้อย ซูหลีขมวดคิ้ว ความรู้สึกหงุดหงิดพลันบังเกิด
หลางฉ่างมองนาง หันไปยิ้มและกล่าวกับตงฟางเจ๋ออย่างมีความนัยแฝง “ขอบใจเจิ้นหนิงอ๋อง! เมื่อครู่หลางฉ่างยังกังวลว่าเจิ้นหนิงอ๋องจะไม่พอใจ ดูท่าคงเป็นข้าที่ดูเบาจิตใจผู้อื่นเกินไป!”
ตงฟางเจ๋อกลับเอ่ย “องค์รัชทายาทมิได้ดูเบาจิตใจผู้อื่นแต่อย่างใด ท่านหญิงไม่เลือกข้า ข้าย่อมรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่ข้าคิดว่า องค์รัชทายาทชนะครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะชนะครั้งหน้าด้วย!” เขากล่าวเพียงครึ่งเดียว ก่อนเหลือบมองหยางเซียวแวบหนึ่ง ความหมายในวาจาบ่งชี้ชัดเจน ก็เหมือนกับที่องค์ชายสี่ชนะในครั้งแรก แต่กลับไม่อาจชนะได้ในครั้งที่สอง
ใบหน้าของหยางเซียวมีแววขึ้งเคียดพาดผ่าน ปากกลับหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “เจิ้นหนิงอ๋องช่างเปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งนัก! ข้าชอบคบหาสหายเช่นท่านนี่แหละ! แต่ว่า…เจิ้นหนิงอ๋องดูแล้ว คิดว่าครั้งหน้าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะกันเล่า?”
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้ว มองซูหลี กล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับท่านหญิงหมิงซี ข้ามิกล้ายืนยันส่งเดช!” แต่เขาเชื่อ ผู้ชนะในครั้งสุดท้าย ไม่มีทางเป็นหยางเซียวและหลางฉ่างแน่นอน! บางทีพิธีคัดเลือกพระสวามีในวันนี้ ผู้ชนะในตอนสุดท้าย ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นหนึ่งในพวกเขาทั้งสี่! รอยยิ้มมุมปากของตงฟางเจ๋อกว้างขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งพาให้ผู้คนไม่เข้าใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
หลางฉ่างขมวดคิ้วเบาๆ ค้นพบว่าด้านความคิดอันยากแท้หยั่งถึง ตงฟางเจ๋อไม่ได้ด้อยไปกว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงเลยแม้แต่น้อย เขากระทั่งคาดเดาได้ยากยิ่งกว่าฮ่องเต้ด้วยซ้ำ! หากภายหน้า คนผู้นี้ได้สืบทอดบัลลังก์ สถานการณ์การคานอำนาจกันของทั้งสามแคว้นในยามปัจจุบันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง! คิดได้เช่นนี้ ในใจพลันตึงเครียด สายตาที่มองซูหลี ฉายแววเป็นห่วงอย่างไม่รู้ตัว
ซูหลีวางถ้วยสุราลง พลันรู้สึกได้ถึงไอเย็นเยียบสายหนึ่งจู่โจมมาทางนาง พริบตาเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วหออวิ๋นเยียน นางหันมองอย่างตกใจ เห็นฮ่องเต้พระพักตร์บึ้งตึง รังสีอำมหิตพาดผ่านดวงตา อดสะท้านใจไม่ได้ รีบหันกลับไปค้อมกาย “ซูหลีสามหาว เมื่อครู่ซาบซึ้งในความกตัญญูขององค์รัชทายาทเกินไป ลืมกฎเกณฑ์ไปชั่วขณะ ขอฝ่าบาทโปรดอย่าทรงกริ้ว!”
ฮ่องเต้มองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม สายตาที่ทอดมองลงมาจากเบื้องบนอัดแน่นไปด้วยความกดดันมหาศาล ซูหลีรีบหมอบศีรษะต่ำ
ทุกคนพลันอึ้งงัน ต่างพากันกลั้นหายใจทันที
หออวิ๋นเยียนที่เมื่อครู่ยังบรรยากาศรื่นเริง ยามนี้กลับหนาวเย็นไปถึงกระดูก บรรยากาศรอบข้างพลันแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที
ฮ่องเต้กวาดสายตามองคนทุกผู้ที่อยู่เบื้องล่างจนครบ เงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเปิดปากเอ่ยเสียงแช่มช้า “ท่านหญิงทำผิดอะไร? ข้าเคยบอกแล้ว พิธีคัดเลือกพระสวามีในวันนี้ล้วนตามใจเจ้า ในเมื่อข้ารับปากเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ถือโทษโกรธเจ้า! ลุกขึ้นมาเถิด” สีหน้าเขาสง่าผ่าเผย น้ำเสียงเย็นเยียบ เห็นชัดว่าในใจยังคงถือโทษอยู่ เพียงแต่มีคนอยู่ในเหตุการณ์มากมาย จึงไม่สะดวกระเบิดอารมณ์ออกมา
ซูหลีย่อมเข้าใจดี แต่เพราะนางมีความตั้งใจในใจแต่แรกแล้ว จึงไม่สะดวกกล่าวมากความ นางขอบพระทัยก่อนลุกขึ้นยืน แยกย้ายกลับไปนั่งที่ของตนเอง ยามนี้ตงฟางจั๋วจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “หัวข้อที่สามคืออะไร?”
ซูหลีไม่ได้ตอบ เพียงส่งยิ้มละมุนให้เขา แล้วกล่าวว่า “จิ้งอันอ๋องอย่าเพิ่งใจร้อนเพคะ สองหัวข้อเมื่อครู่ ทำให้ท่านทั้งสี่ใช้ความคิดไปไม่น้อย ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก หลายวันก่อน ซูหลีเพิ่งปรุงชาดอกไม้ชนิดใหม่ขึ้น ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ พอดี จึงขอฉวยโอกาสนี้ให้ท่านทั้งสี่ช่วยลิ้มรส”
นางกวักมือเรียก นางกำนัลชุดเขียวสี่นางเดินถือถาดน้ำชาขึ้นมาบนหออวิ๋นเยียน นำชาดอกไม้ที่ถูกชงอย่างใส่ใจทุกขั้นตอนมาถวายตรงหน้าคนทั้งสี่อย่างระมัดระวัง
เปิดฝาออกดู สีน้ำชาเหลืองใส กลิ่นหอมกรุ่นแผ่กำจาย ดึงดูดให้ผู้คนอยากลิ้มลอง
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น ชิมชา? ในเวลาอย่างนี้ นางกลับมีใจว่างทำเช่นนี้! แต่ในเมื่อเป็นการชิมชา แล้วเหตุใดจึงเตรียมไว้ให้แค่พวกเขาสี่คน กลับไม่เตรียมไว้ให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาด้วย? ความสงสัยพาดผ่านดวงตา เขาช้อนตามองซูหลี
ซูหลีในยามนี้คลี่ยิ้มเบาๆ นัยน์ตาหลุบต่ำ รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองมาทางตนเอง หนังตาพลันกระตุก ในใจอดรู้สึกลนลานขึ้นมาไม่ได้
ตงฟางจั๋วยกถ้วยชาขึ้นเป็นคนแรก จิบหนึ่งคำ รู้สึกว่าเมื่อกลิ่นหอมถูกกลืนลงคอ ความรู้สึกสดชื่นก็แผ่กำจาย อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมทันที “อืม! ชาดี!”
ซูหลียิ้มเบาๆ รอยยิ้มนั้นดูไปคล้ายปลื้มปริ่มและพอใจ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดมองเห็นแววเสียดสีอันเลือนรางที่ซ่อนอยู่ใต้นัยน์ตาหลุบต่ำของนาง
หลางฉ่างและหยางเซียวได้ยินเช่นนั้นก็ยกถ้วยชาดื่มตาม สีหน้าประหลาดใจระคนชื่นชมฉายชัดบนใบหน้า เอ่ยชมไม่ขาดปาก มีเพียงตงฟางเจ๋อที่ยกถ้วยจรดริมฝีปาก จิบเพียงเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดเบาๆ ไม่เอ่ยวาจาใด
ทุกคนพลันบังเกิดความสงสัย แต่สามในสี่บอกว่าดี คนรอบข้างย่อมต้องคิดว่าชานี้เป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย อดไม่ได้ที่จะนึกอยากลิ้มลองบ้างว่าจะดีถึงเพียงไหนกัน?
ซูหลีช้อนตาขึ้นเล็กน้อย เห็นฮ่องเต้และฮองเฮากำลังขมวดคิ้วเบาๆ สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ทว่ายามนี้ หลังจากที่อีกสามคนดื่มชาไปได้ครึ่งถ้วย ตงฟางเจ๋อที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอด พลันขมวดคิ้วส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “แม้เป็นชาดี เพียงเสียดาย…”
เสียดาย?!
ทุกคนพลันอึ้งงัน ซูหลีเงยหน้าทันที สายตาตกใจระคนสงสัยจ้องมองไปทางเขา เห็นเพียงสายตาแฝงรอยยิ้มบางเบาในดวงตาตงฟางเจ๋อ นิ่งสงบ คล้ายไม่มีจิตระแวงสงสัย นิ่งสงบถึงเพียงนี้ มองไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจแม้แต่น้อย ซูหลีพลันขมวดคิ้ว กระตุกมุมปากขึ้นเบาๆ คลี่ยิ้มสง่างาม “เจิ้นหนิงอ๋อง โปรดชี้แนะด้วยเพคะ!”
ตงฟางเจ๋อค่อยๆ วางชาลง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชานี้ชื่อว่าชาห้าบุปผา สี่ในห้านั้นประกอบไปด้วยดอกเบญจมาศฤดูใบไม้ร่วง สีเหลืองทองอร่าม มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เสียดายที่รสชาติจืดและฝาด ฉะนั้นเจ้าจึงเติมดอกหอมหวนซึ่งมีกลิ่นหอมและไร้สีลงไป! ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่ชอบกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ที่สุด ถึงแม้ดอกไม้อีกสี่ชนิดช่วยบำรุงร่างกายได้ดี กลับถูกดอกไม้ชนิดนี้ทำให้เสียรสชาติ น่าเสียดายยิ่งนัก! น่าเสียดาย!”
เขาสีหน้าเรียบเฉย ส่ายหน้าไปมา ทว่าซูหลีกลับฉงนฉงาย ดอกหอมหวนนั้นเป็นวัสดุแต่งกลิ่นของชาดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไป กลิ่นหอมของมันไม่ได้ฉุนมาก เมื่อใช้ร่วมกับดอกเบญจมาศ ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตงฟางเจ๋อมีความรู้เรื่องดอกไม้และสมุนไพร ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้ เขากลับเอ่ยออกมาตรงๆ ว่าตนเองไม่ชอบ เขาไม่ชอบจริงๆ หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง? ซูหลีพลันนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นในจวนอัครเสนาบดี ชาร้อยบุปผาถ้วยนั้นของซูชิ่น เขาใช่มองออกแต่แรก แต่กลับไม่พูดออกมา เพราะตั้งใจใช้แผนหนามยอกเอาหนามบ่งหรือไม่? คิดดูแล้วก็ให้รู้สึกพรั่นพรึง ความคิดของบุรุษผู้นี้ลึกล้ำเกินไปจริงๆ!
ซูหลีข่มกลั้นความกระวนกระวายในใจ ลุกขึ้นหมายเอ่ยเกรงใจสักหลายประโยค ทว่าสีหน้าพลันซีดขาว วิงเวียนศีรษะ ยังไม่ทันค้อมกายทำความเคารพ ก็ล้มลงไปดัง ‘ตึง’
เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีผู้ใดเข้าไปประคองนางไว้ได้ทัน เห็นนางล้มลงไปอย่างไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้าเช่นนั้น ทุกคนสีหน้าพลันเปลี่ยน ตงฟางเจ๋อกับคนอื่นพลันลุกพรวด สามในสี่รีบพุ่งกายเข้าไปตรงหน้านาง มีเพียงคนเดียวที่ไม่ขยับ คือหยางเซียว ยามนี้เขาอ้าปากกว้าง คล้ายตกใจมากเช่นกัน
ทั้งสามพากันประคองนางลุกขึ้นกันให้วุ่นวาย กลับพบว่านางหลับตาสนิท สีหน้าซีดเผือด ไม่เหลือสติสัมปชัญญะแม้แต่น้อย ดูราวร่างไร้วิญญาณ
………………………………………………………