กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 132 ฉายซ้ำฉากหญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์ (2)
ตงฟางเจ๋อสีหน้าเย็นชา สายตาคมปลาบ เขาเบี่ยงกายหลบ พลางพลิกฝ่ามือจับแขนตงฟางจั๋วที่พุ่งเข้ามาเอาไว้แน่น ก่อนเอ่ยถามเสียงเย็น “พี่รองคิดจะทำอะไร?!”
ตงฟางจั๋วขัดขืน แต่กลับไม่เป็นผล เพลิงโทสะพลันท่วมท้น สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย เขาจ้องตากับตงฟางเจ๋อด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างไม่มีใครยอมใคร ตวาดเสียงแหบ “เป็นเจ้า!? เด็กในท้องของนาง…เป็นของเจ้าใช่หรือไม่?”
ท่าทางที่ดูราวใกล้คลุ้มคลั่ง ทำให้ผู้คนรอบข้างตกใจจนต้องถอยห่าง และวาจาที่เขาเอ่ย ก็ได้ดึงดูดสายตาของฮ่องเต้ฮองเฮา รวมถึงคนทุกผู้ให้พลันแปรเปลี่ยน ตวัดมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋ออย่างพร้อมเพรียง
สีหน้าตงฟางเจ๋อพลันเคร่งขรึม เอ่ยเตือนเสียงเย็นชา “อยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ พี่รองโปรดระวังวาจาด้วย! ปรักปรำข้านั้นไม่เป็นไร แต่อย่าได้ทำลายเกียรติของท่านหญิงหมิงซี!”
ตงฟางจั๋วราวกับไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น เพียงตวาดต่อว่าเสียงเกรี้ยว “เจ้ายังไม่ยอมรับ? ในบ่อน้ำพุร้อนหลังหุบเขาจู๋หลี ข้าเห็นกับตาว่าพวกเจ้า…”
“จั๋วเอ๋อร์! อย่าพูดจาเหลวไหล!” ฮองเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน รีบเอ่ยตัดบททันที
ตงฟางเจ๋อเงยหน้ามองฮองเฮา ภายในดวงตาดำขลับอันแสนลึกล้ำมีรอยยิ้มเย็นชาระคนเย้ยหยันพาดผ่าน ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้สีหน้าตึงเครียดสุดขีด ขมวดคิ้วมองฮองเฮา ฮองเฮารีบต่อว่าเสียงเข้ม “เจ้ายังไม่รีบปล่อยมืออีก! ต่อหน้าฝ่าบาท พวกเจ้าสองพี่น้องไม่อาจทำตัววู่วาม!”
เป็นถึงแคว้นอันยิ่งใหญ่ ประกาศให้โลกรู้ถึงพิธีคัดเลือกพระสวามีของท่านหญิง นึกไม่ถึงท่านหญิงยังไม่ทันเลือกพระสวามี กลับหมดสติล้มลงไป โดยถูกวินิจฉัยว่ามีครรภ์! จิ้งอันอ๋องยังกล่าวโทษว่าเด็กในท้องนางเป็นลูกของเจิ้นหนิงอ๋อง! ใต้ฟ้านี้เกรงว่าคงไม่มีเรื่องที่น่าขันไปกว่านี้อีกแล้ว!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้หน้าเขียวด้วยความโกรธเกรี้ยว รอบข้างเงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิต
ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
ตงฟางจั๋วจ้องหน้าตงฟางเจ๋อเขม็ง สองพี่น้องยังคงมองหน้ากันอย่างไม่มีผู้ใดยอมแพ้
“เจ๋อเอ๋อร์! เจ้าอธิบายให้ข้าฟัง ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่!” ฮ่องเต้คำรามเสียงเกรี้ยว สายตาที่จ้องหน้าตงฟางเจ๋อเย็นชาและคมปลาบสุดแสน ราวกับดาบน้ำแข็งก็ไม่ปาน แค่ท่านหญิงหมิงอวี้ ก็ทำให้ราชวงศ์ขายหน้าจนสิ้นแล้ว ยามนี้ยังมาท่านหญิงหมิงซีอีก เรื่องอัปยศเช่นนี้เกิดขึ้นในแคว้นเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วภายหน้าจะครองใจราษฎร รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?!
ฮ่องเต้ทรงพิโรธ ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ปล่อยมือ คิ้วเข้มขมวดเบาๆ เอ่ยตอบเสียงเข้ม “ทูลเสด็จพ่อ ลูกไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไม่รู้? เช่นนั้นผู้ใดจะรู้?” ฮ่องเต้ตำหนิเสียงเข้ม สายตาดุดันตวัดมองไปยังตงฟางจั๋ว “เจ้าพูด”
ตงฟางจั๋วพลันตื่นตกใจ เมื่อครู่ถูกเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโจมตีจนสมองมึนงง จึงสูญเสียสติเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกไป ครั้นฮองเฮาเอ่ยห้ามปราม เขาจึงได้สติกลับคืนมาไม่น้อย รู้ดีว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ มิเช่นนั้น แม้จะไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ซูหลีก็ไม่มีทางเลือกเขาอีกต่อไป
อีกทั้งเรื่องในสระน้ำพุร้อน แม้ตอนนั้นเขาจะโกรธมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ถึงแม้ยังหาสาเหตุไม่เจอ แต่เขาเชื่อว่าซูหลีไม่ใช่สตรีที่ปล่อยตัวเช่นนั้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นในพิธีคัดเลือกพระชายานางคงเลือกตงฟางเจ๋อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้บานปลายใหญ่โตเช่นนี้ ครั้นนึกย้อนไปอย่างละเอียด สีหน้าของตงฟางเจ๋อก็สงสัยและประหลาดใจยิ่ง เห็นชัดว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่ต่างกัน
เช่นนั้นเด็กในท้องนางเป็นของผู้ใดกันแน่?
ตงฟางจั๋วคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก อดกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิดไม่ได้ เขาก้มหน้าตอบเสียงต่ำ “ลูก…ก็ไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้…ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน ฮ่องเต้โกรธจัดจนหัวเราะออกมา แทบจะถีบโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าจนพลิกคว่ำ!
ผู้คนรอบข้างต่างตกใจจนตัวสั่น
ความเงียบสงัดราวกับทุกสิ่งได้ตายไปหมดแล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วหออวิ๋นเยียน บรรยากาศอึดอัดและกดดันสุดแสน ราวกับมีสะเก็ดไฟที่มองไม่เห็นปะทุอยู่ในอากาศ รอเพียงเวลาระเบิดเท่านั้น ทุกคนต่างยืนเกร็งโดยไม่รู้ตัว
ทว่า… ท่ามกลางกลุ่มคนจู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ทุกคนพลันตื่นตะลึง ผู้ใดกัน? ไม่เสียดายชีวิตแล้วหรือ จึงกล้าหัวเราะขึ้นมาในเวลานี้?
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่ขี้ขลาดต่างพากันตัวสั่นงันงก เหล่มองต้นกำเนิดเสียงอย่างหวาดผวา
อาภรณ์สีแดงเพลิง กลีบปากเคลือบรอยยิ้มชวนหลงใหล ที่แท้ก็เป็นหยางเซียวองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนนั่นเอง! เกรงว่าคงมีเพียงคนไม่เอาจริงเอาจังเช่นเขาเท่านั้นที่สามารถหัวเราะในเวลาอย่างนี้ได้!
ฮ่องเต้เงยหน้ามองอย่างเย็นชา ข่มกลั้นโทสะ ถามอย่างไม่พอใจ “องค์ชายสี่หัวเราะอะไรกัน?”
หยางเซียวสะบัดแขนเสื้อสองสามที ก่อนแหงนหน้าคลี่ยิ้มกว้าง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมดีใจยิ่งนัก!”
“ดีใจ?” ไอสังหารพาดผ่านดวงตาฮ่องเต้ เสียงพลันคมเข้มขึ้นทันใด คนที่รู้จักนิสัยเขาดีต่างเข้าใจ ว่านี่คือสัญญาณเตือนก่อนที่ฮ่องเต้จะบันดาลโทสะ
หยางเซียวกลับเหมือนไม่รู้สึก ยังคงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! กระหม่อมคิดว่า ท่านหญิงตั้งครรภ์เดิมทีก็เป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว หากกระหม่อมโชคดีถูกนางเลือก คราวนี้ไม่เพียงมีภรรยา แต่ยังได้โอรสด้วย!” เอ่ยจบ เขาก็หัวเราะเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี น้ำเสียงเขาไร้วี่แววเสียดสี คล้ายต้องการสู่ขอซูหลีกลับบ้านจนแทบทนรอไม่ไหว
ทุกคนพลันนิ่งเงียบไม่พูดจา สายตาที่มองมาทางเขาราวกับกำลังมองตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ตงฟางเจ๋อหรี่ตาเล็กน้อย จ้องพิจารณาหยางเซียวเงียบๆ องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้เยาว์วัยผู้นี้คล้ายสอดแทรกมุกตลกอย่างไม่จริงจัง แต่กลับไม่อาจซ่อนความหลักแหลมของเขาไว้ได้
สาเหตุที่บุรุษผู้หนึ่งไม่คิดรังเกียจลูกของคนอื่นในท้องสตรีที่ตนเองกำลังจะสู่ขอ มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่งคือเขาผู้นั้นเป็นอริยบุคคล สองคือเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เขาไม่ได้ต้องการสู่ขอนางอย่างแท้จริง! เห็นชัดว่าหยางเซียวไม่เข้ากับความเป็นไปได้ที่หนึ่ง
ตงฟางเจ๋อเลื่อนสายตาไปทางหลางฉ่าง ท่าทีของเขาต่างจากหยางเซียวที่ไม่แยแสอย่างสิ้นเชิง หลางฉ่างขมวดคิ้วกระบี่แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสงสัย ยังมีแววอนาทรร้อนใจแฝงอยู่ด้วย เทียบกับเรื่องที่นางตั้งครรภ์ เขาดูเหมือนกำลังเป็นห่วงสุขภาพนางมากกว่า
สีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา พยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจอย่างสุดความสามารถ ยามนี้เขาดูใจเย็นลงมากแล้ว ทว่าสายตาที่ทอดมองซูหลี กลับเริ่มมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมา
หลางฉ่างเห็นเช่นนั้นพลันตื่นตกใจ รีบร้อนเอ่ยถาม “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ท่านหมอหลวง ท่านใช่วินิจฉัยผิดหรือไม่?”
สายตาของทุกคนทอดมองไปยังหลี่จงเหอที่นั่งอ่อนแรงอยู่บนพื้นอีกครั้ง หลี่จงเหอตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาคุกเข่าโขกศีรษะรัวๆ “กระหม่อมกล้าเอาชีวิตเป็นประกัน ชีพจรของท่านหญิง เป็น…ชีพจรมงคลจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จงเหอหดหู่ใจเป็นที่สุด ในน้ำเสียงเริ่มมีเสียงร้องไห้ปะปน เป็นหมอมาทั้งชีวิต กลับเจอเรื่องเช่นนี้ถึงสองครั้ง ซวยไปแปดชาติจริงๆ!
ถึงแม้ท่าทางของหลี่จงเหอจะมั่นอกมั่นใจมาก แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงรับสั่งว่า “เด็กๆ เรียกหมอหลวงคนอื่นมาวินิจฉัยร่วม”
ในครึ่งปีนี้ถูกวินิจฉัยร่วมถึงสองครั้ง สิทธิพิเศษเช่นนี้ นอกจากฮ่องเต้ก็มีเพียงนางที่ได้รับเกียรติ แพขนตาของสตรีที่นอนอยู่บนเก้าอี้เอนหลังกระเพื่อมเบาๆ จนสังเกตแทบไม่เห็น พริบตาเดียวก็นิ่งจนเหมือนยังไม่เคยฟื้นคืนสติ
ผู้คนรอบข้างต่างกลั้นหายใจรอดูเหตุการณ์ต่อไป หลี่จงเหอคุกเข่าอยู่ตรงนั้น พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เหงื่อเย็นไหลท่วมกายอย่างห้ามไม่อยู่ รีบเพ็ดทูลทันที “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………………………