กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 134 ความเชื่อใจที่มาสายเกินไป (2)
หลางฉ่างเองก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่ใบหน้าถมึงทึง คล้ายกำลังรอคำอธิบาย
เรื่องนี้มีเงื่อนงำอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้สึกได้
ฮ่องเต้หลับตาสงบสติอารมณ์ ยังไม่ทันเอ่ยปาก หยางเซียวก็กะพริบตาปริบๆ จ้องมือตนเองอย่างแปลกใจ อ้าปากตะโกนเสียงดังอย่างเกินกว่าเหตุ “ข้าได้ยินไม่ผิดกระมัง? เมื่อครู่หมอหลวงบอกว่า…พวกเรา พวกเราทั้งสี่ อ้อไม่สิ พวกเราทั้งห้าคน! ล้วน ล้วนตั้งครรภ์!?” เขาเบิกตากว้าง เน้นเสียงคำว่า ‘ตั้งครรภ์’ คล้ายกลัวคนอื่นได้ยินไม่ชัด เอ่ยจบยังหันไปมองซูหลี และมองบุรุษอีกสามคนข้างกาย ทันใดนั้น เขาพลันหลุดหัวเราะเสียงดังลั่นจนตัวโยน เหลือก็แต่ไม่ได้กลิ้งตัวลงไปกับพื้นเท่านั้น!
ทุกคนต่างมองหน้ากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
ในฐานะบุรุษ ถูกคนตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้นี้กลับยังหัวเราะได้อีก! ตงฟางจั๋วหางตากระตุก จ้องมองหยางเซียว เอ่ยวาจาใดไม่ออกแล้ว
“ดูท่าองค์ชายสี่สี่คล้ายจะชอบใจมาก?” ตงฟางเจ๋อเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง น้ำเสียงนิ่งขรึม ฟังไม่ออกว่าเอ่ยถามด้วยอารมณ์เช่นไร
หยางเซียวตอบทันที “ชอบใจ! ข้าย่อมชอบใจ! บุรุษตั้งครรภ์ ร้อยปียังยากจะพบสักหน ซ้ำยังเกิดขึ้นกับตัวข้าเองอีก ช่าง…ช่างแปลกใหม่เหลือเกิน น่าสนใจจริงๆ! ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…” เขาหัวเราะเสียงดังต่อ ราวกับไม่อาจหยุดได้
ทุกคนต่างปากอ้าตาค้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก แม้แต่ซูหลีก็เกือบจะข่มกลั้นไว้ไม่อยู่
ตงฟางจั๋วอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ไม่อาจข่มกลั้นไว้ได้ จ้องหน้าเขา ตวาดเสียงเย็น “เป็นไปไม่ได้!”
“ย่อมเป็นไปไม่ได้!” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้ม ไม่สนใจองค์ชายสี่ที่กำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ไม่เอาจริงเอาจังผู้นั้นอีก เขาตวัดสายตาไปยังหลี่จงเหอ “เจ้ารู้เหตุผลใช่หรือไม่? พูดมา”
หลี่จงเหอตัวสั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก รีบก้มหน้าตอบ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจสันนิษฐานว่าท่านอ๋องทั้งสอง องค์รัชทายาท และองค์ชายสี่ อาจ…อาจถูกยาชนิดหนึ่งเปลี่ยนชีพจรพ่ะย่ะค่ะ!”
ถูกยาเปลี่ยนชีพจร?!
ฮ่องเต้แววตาไหวระริก ถามเสียงเกรี้ยว “เป็นยาใด?”
หลี่จงเหอกล่าวว่า “เป็นยาใดกระหม่อมไม่ทราบแน่ชัด กระหม่อมรู้เพียงว่า หากถูกวางยานี้เข้า ไม่ว่าจะเป็นบุรุษ ผู้สูงวัย หรือเด็กเล็ก ล้วนมีชีพจรเช่นนี้เกิดขึ้นได้ จริงเท็จยากแยกแยะ และนี่ก็เป็นคำตอบของกระหม่อมที่ท่านหญิงถามว่า ‘หญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์ได้หรือไม่’ พ่ะย่ะค่ะ!”
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าท่านหญิงรู้เรื่องนี้?” ฮ่องเต้ใบหน้าเย็นชา สายตาคมปลาบตวัดมองไปที่ซูหลี ถึงแม้ซูหลีหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวและคมปลาบของสายตานั้น นางอดไม่ได้ที่จะพรั่นพรึง ทว่ากลับไม่ลืมตาขึ้นมา
“ใต้ฟ้ามียาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?!” ฮองเฮาตกตะลึง แล้วถามอย่างร้อนใจอีกว่า “ยานี้ส่งผลเสียต่อร่างกายของพวกเขาหรือไม่?”
หลี่จงเหอกล่าว “ฮองเฮาโปรดวางพระทัย ยานี้เพียงเปลี่ยนชีพจรคน ไร้ผลเสียต่อร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาผ่อนลมหายใจ ครุ่นคิด แล้วกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นชีพจรของท่านหญิง…” นางอยากถามว่าซูหลีตั้งครรภ์จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะยาเช่นเดียวกับอีกสี่คน แต่ใจก็กลัวว่าหากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้จะแก้ไขไม่ได้อีก
หลี่จงเหอย่อมเข้าใจความกังวลของฮองเฮา ตอบว่า “กระหม่อมตรวจชีพจรของท่านหญิง พบว่าเหมือนกับท่านอ๋องทั้งสองทุกประการ กระหม่อมคิดว่า ชีพจรมงคลของท่านหญิง ก็เกิดจากยาชนิดนั้นเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะบอกว่า…นางมิได้ตั้งครรภ์จริง?!” ตงฟางจั๋วได้ยิน ก็คว้าตัวหลี่จงเหอมาถามด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน
หลี่จงเหอรีบกล่าว “กระหม่อมก็เพียงสันนิษฐาน ประสิทธิภาพของยานี้อยู่ได้ไม่นานนัก ผ่านไปสองชั่วยามชีพจรมงคลก็จะค่อยๆ อ่อนลงพ่ะย่ะค่ะ จะใช่ตั้งครรภ์จริงหรือไม่…ถึงเวลานั้นย่อมรู้แจ้งพ่ะย่ะค่ะ”
“สองชั่วยาม…ดี ข้าจะรอ” ตงฟางจั๋วหันกลับไปจับมือซูหลีแน่น สีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาเริ่มฉายแววสำนึกผิดรางๆ ถอนใจ กล่าวว่า “ซูเอ๋อร์ ข้าเกือบปรักปรำเจ้าแล้ว!” เอ่ยจบก็เงียบไป คล้ายนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ พลันหันหน้าขวับ กวาดมองรอบกายด้วยสายตาคมปลาบ ตวาดถามเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดกันที่กินดีหมีหัวใจเสือเข้าไป ถึงกับกล้าบังอาจนำยาเช่นนี้เข้ามาในวังเพื่อตั้งใจให้ร้ายท่านหญิงหมิงซีเช่นนี้ ช่างน่าจับไปประหารสักหมื่นครั้ง! หากข้าตรวจสอบเจอจะประหารมันทั้งโคตร ลงโทษให้ห้าม้าแยกศพ!”
ตงฟางจั๋วในยามนี้ ไอสังหารแผ่ปกคลุมรอบกาย น่ากลัวอย่างถึงที่สุด เหล่าขันทีและนางกำนัลที่ถูกเขากวาดมอง ต่างก็อกสั่นขวัญหาย ตกใจจนทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ด้วยวาจาของตงฟางจั๋ว ทุกคนล้วนคิดได้ว่านี่เป็นแผนการร้ายที่ถูกสร้างขึ้น วางแผนให้ท่านหญิงตั้งครรภ์ก่อนแต่ง ทำให้พิธีคัดเลือกพระสวามีในครานี้ต้องล่มไปทั้งอย่างนี้ ทว่าบังเอิญที่องค์ชายทั้งสี่ต่างก็ถูกยาชนิดนี้เล่นงานเช่นกัน ทำให้แผนร้ายล้มเหลว
ผู้ใดกันที่ใจกล้าถึงเพียงนี้? ทำลายพิธีคัดเลือกพระสวามีของท่านหญิง แล้วจะส่งผลดีต่อคนผู้นั้นอย่างไร? แม้ท่านหญิงมีฐานะไม่สูงส่งเท่าองค์ชายทั้งสี่ แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าใกล้ได้ง่ายๆ คนผู้นั้นวางยานางด้วยวิธีใด? แล้วองค์ชายทั้งสี่โดนยาชนิดนั้นเล่นงานได้อย่างไร?
คำถามมากมายยังไม่มีคำตอบ ทุกคนทำได้เพียงกลั้นหายใจ ก้มหน้ารอเงียบๆ ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ปลาตายทั้งบ่อ
“หมอหลวงหลี่” ตงฟางจั๋วขานเรียก “พวกข้าล้วนฟื้นแล้ว เหตุใดท่านหญิงยังไม่ฟื้น?”
“ทูลท่านอ๋อง ท่านหญิงอาจ…อาจ…ร่างกายอ่อนแอ…” หลี่จงเหอพูดเสียงติดขัด เหงื่อไหลท่วมศีรษะ ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี ตามหลัก นางควรฟื้นตั้งนานแล้ว
“รีบช่วยให้นางฟื้นเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะเด็ดหัวเจ้า!” คิ้วคมเข้มขมวดกันเป็นปมแน่น จ้องมองใบหน้าเขาราวกับกำลังจะระเบิดโทสะ
ในตอนนี้เอง ซูหลีพลันลืมตาขึ้น ตงฟางจั๋วเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ รีบเข้าไปประคองนาง ไม่สังเกตสักนิดว่ายามนี้แววตานางแจ่มชัด ไร้ท่าทีสะลึมสะลือ
“เจ้า…รู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายที่ใดหรือไม่?” ตงฟางจั๋วถามนางเสียงอ่อน สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล
ซูหลีชะงักเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถาม เพียงจ้องมองเขาแน่นิ่ง เอ่ยถามเสียงแช่มช้า “ท่านอ๋องไม่กริ้วแล้วหรือเพคะ?”
“โกรธหรือ?” ตงฟางจั๋วอึ้งงัน ไม่นานก็กระจ่าง แต่เขากลับไม่ได้เคืองขุ่น เพียงมองนางอย่างอ่อนโยน “ที่แท้เจ้าก็ฟื้นนานแล้ว…ถึงแม้ยังไม่รู้ผลเพราะยังไม่ถึงสองชั่วยาม แต่ข้าเชื่อใจเจ้า!”
วาจาประโยคสุดท้าย เขาเอ่ยอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้น
ทว่า… นางเคยหวังอยากได้ยินคำว่า ‘ข้าเชื่อใจเจ้า!’ จากเขามากเพียงไหน ยามนั้นเขากลับไม่ยอมมอบให้นาง แล้วยังหันมาทำร้ายนางอีก ยามนี้ เมื่อเขาเอ่ยสี่คำนี้อีกครั้ง กลับสายเกินไปเสียแล้ว!
นางไม่ต้องการมันอีกแล้ว
ซูหลีเชิดคาง คลี่ยิ้มบางให้เขา ทว่ากลับถามเสียงเย็นชา “เหตุใดจึงเชื่อใจหม่อมฉันเล่าเพคะ?”
เหตุใด? ตงฟางจั๋วสายตาไหวระริก ทว่ากลับไร้คำตอบ
ซูหลียิ้มแล้วเอ่ยอีกว่า “ท่านอ๋องยังจำวาจาที่ซูหลีเคยกล่าวไว้ได้หรือไม่เพคะ?”
ตงฟางจั๋วครุ่นคิดก่อนส่ายหน้า “วาจาใด?”
ซูหลีจ้องตาเขาพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องรู้สึกหรือไม่ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับซูหลีในวันนี้ คล้ายกับเหตุการณ์ที่ท่านหญิงหมิงอวี้หมดสติ แล้วถูกตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ในวันแต่งงานของท่านอ๋องมากเหลือเกิน?”
……………………………………………………