กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 135 ความเชื่อใจที่มาสายเกินไป (3)
ตงฟางจั๋วตัวแข็งค้างชะงักงัน ได้ยินเพียงนางเอ่ยว่า “ซูหลีเคยกล่าวกับท่านอ๋องแล้วว่า หากวันนั้นท่านอ๋องมอบความเชื่อใจให้ท่านหญิงหมิงอวี้มากกว่านั้น โศกนาฏกรรมทั้งหมดก็อาจจะไม่เกิดขึ้น!”
น้ำเสียงนางเฉียบขาดถึงเพียงนั้น สายตาก็เย็นชาจับขั้วหัวใจ ราวกับแฝงไว้ด้วยความแค้นที่ฝังลึกลงในกระดูก เหมือนเป็นคำกล่าวโทษที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ตงฟางจั๋วพลันหน้าถอดสี ซีดเผือดดั่งแผ่นกระดาษ ราวกับบาดแผลที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจถูกทิ่มแทง ทำเอาเขาแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ถ้าหาก…ในค่ำคืนที่ไร้ผู้คน เขาเองก็เคยนึกถึงผลลัพธ์เช่นนั้นอย่างอดไม่ได้เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า โลกใบนี้ไม่เคยมีคำว่าถ้าหาก เพราะคนที่ตายไปแล้วไม่มีทางฟื้นคืนมา และเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นดังเดิมได้!
ซูหลีเงยหน้าสูดลมหายใจลึกๆ แล้วปัดมือเขาออก ลุกขึ้นก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน นางร้องขอบทลงโทษจากฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงใจ “หมิงซีสมควรตาย ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ”
ทุกคนตะลึงงัน ต่างไม่เข้าใจว่านางมีจุดประสงค์ใด
“เป็นเจ้าดังคาด!” ฮ่องเต้สีหน้าโกรธเกรี้ยว สายตาคมปลาบจดจ้องใบหน้านาง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “วางยาท่านอ๋องและท่านทูต เจ้ารู้หรือไม่ว่าควรรับโทษสถานใด?”
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน มองซูหลีอย่างไม่อยากเชื่อ หันไปถามฮ่องเต้ “เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ตงฟางเจ๋อเหล่มองเขา เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “พี่รองยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
บางทีสิ่งแรกที่ทุกคนนึกได้ ล้วนเป็นจุดประสงค์ในการวางยา ในเมื่อยานี้ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายคน เช่นนั้นนอกจากให้ร้ายท่านหญิงหมิงซี ก็คล้ายจะไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้ว ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงมองข้ามไปว่าระหว่างพิธีในวันนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาสัมผัส แต่ผู้อื่นไม่ได้สัมผัส มีเพียงชาดอกไม้สี่ถ้วยที่นางเตรียมไว้เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตงฟางเจ๋อคิดมาโดยตลอดว่าในชานั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ทว่าจนแล้วจนเล่าเขาก็คิดไม่ออก จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาหลังจากหมดสติ และได้ยินหมอหลวงพูดเรื่องชีพจรของพวกเขาทั้งสี่ เขาจึงเข้าใจในที่สุดว่านางต้องการสิ่งใดจากพิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้! และผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างไปจากที่เขาคาดเดา สุดท้ายจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ นอกจากตัวนางเอง
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก มองดูสตรีที่ถึงแม้กำลังนั่งคุกเข่า แผ่นหลังนางกลับเหยียดตรง นางอยู่ในการคาดเดาของเขา แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายได้ตลอด! สตรีนางนี้ใจกล้ายิ่งนัก! เขาพลันนึกสนใจว่าจากนี้นางจะรับมือกับคำถามของฮ่องเต้อย่างไร!
สำหรับเรื่องชา ความจริงตงฟางจั๋วเข้าใจตั้งแต่ที่ซูหลีหันไปร้องขอบทลงโทษจากฮ่องเต้แล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากเชื่อ และไม่เข้าใจว่านางทำอย่างนี้เพื่ออะไร?
ซูหลีเงยหน้าตอบว่า “ทูลฝ่าบาท ซูหลีทราบเพคะว่าล่วงเกินท่านอ๋องกับท่านทูตจะมีโทษสถานใด! แต่ซูหลีกลับจำต้องทำเช่นนี้ ซูหลี…ไม่มีทางเลือกจริงๆ เพคะ! ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ!”
“ไม่มีทางเลือก?” ฮ่องเต้ถามอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”
ซูหลีกล่าว “เพราะมีเพียงวิธีนี้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหญิงพรหมจรรย์ก็สามารถตั้งครรภ์ได้เพคะ! ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกให้ร้าย! ซูหลีขอบังอาจ ขอฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ท่านหญิงหมิงอวี้ด้วยเพคะ!”
นางก้มศีรษะชิดพื้น เสียงนางถึงแม้ไม่ดัง ทว่ากลับกระทบโสตประสาทของคนทุกผู้บนหออวิ๋นเยียนอย่างชัดเจน ทั้งหนักแน่นและมุ่งมั่น
ฮ่องเต้สายตาเคร่งขรึม เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกคนปรักปรำให้ร้าย? เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”
ซูหลีตอบ “ทูลฝ่าบาท เป็นท่านหญิงหมิงอวี้บอกกับหมิงซีด้วยตนเองเพคะ!”
“เหลวไหล!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเข้ม จ้องนางด้วยสายตาคลางแคลง “ท่านหญิงหมิงอวี้ตายตั้งแต่วันแต่งงานแล้ว นางจะบอกเจ้าด้วยตนเองได้อย่างไร?”
“เป็นเรื่องจริงเพคะ!” ซูหลีเงยหน้าอย่างใจเย็น แล้วอธิบายว่า “ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หมิงซีมิกล้าพูดปด ท่านหญิงหมิงซีแม้ตายไปแล้ว แต่วิญญาณกลับเข้าฝันหม่อมฉัน บอกว่านางถูกปรักปรำ แม้ตายก็ตายตาไม่หลับ นางขอร้องให้หมิงซีช่วยนางล้างมลทิน กอบกู้ชื่อเสียงของนาง และลงโทษคนร้ายตัวจริงเพคะ!”
นางเอ่ยจบในอึดใจเดียว ท่าทางคล้ายมีอารมณ์ร่วม ภายในดวงตากระจ่างใสมีน้ำตาเอ่อคลออย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะถูกนางฝืนกล้ำกลืนกลับไป รอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีโอกาสพูดเรื่องความอยุติธรรมที่ตนเองได้รับเสียที เพียงแต่ที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ยามนี้นางกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว กลัวว่าความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่ตามหลอกหลอนในความฝันมาแสนนาน เมื่อมีโอกาสได้เอ่ยขึ้นมา นางจะยังสามารถควบคุมอารมณ์และความแค้นที่ป่วนพล่านดั่งคลื่นซัดสาดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมาโดยตลอดได้หรือไม่
“เข้าฝัน?” ฮ่องเต้ใบหน้าขรึมลงทันใด เห็นชัดว่าไม่เชื่อ พระพักตร์มังกรโกรธกริ้วสุดแสน พลันตวาดเสียงเข้ม “เหลวไหล! แต่ไหนแต่ไรเรื่องภูตผีวิญญาณเป็นวาจาน่าขบขัน หลอกลวงปรุงแต่ง มีจริงที่ไหนกัน! ข้าว่าเจ้าไร้ข้อโต้แย้ง จึงเอ่ยวาจาเหลวไหลกลบเกลื่อนความผิด! เขียนราชโองการ ท่านหญิงหมิงซีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ลบหลู่เบื้องสูง ถอดยศท่านหญิงขั้นสอง รอลงอาญา!”
กลุ่มคนตกตะลึง เพียงราชโองการเดียว เกียรติยศทั้งมวลหายไปในพริบตา เหล่าทหารองครักษ์พกดาบใบหน้าเคร่งขรึมสิบกว่านายรับคำ และก้าวเดินมาทางซูหลี
ซูหลีตกใจ หัวใจเย็นสะท้าน ถึงแม้คาดเดาไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะต้องไม่เชื่อแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่เปิดโอกาสให้นางแก้ต่างแม้แต่น้อย นึกดูแล้วคงเป็นเพราะนางขัดใจเขาตอนตั้งสองหัวข้อแรก ทำให้เขาไม่พอใจ จึงต้องการมอบบทเรียนให้นาง เพื่อให้นางรู้ว่าหากหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะมีจุดจบเช่นไร! แต่ไม่ง่ายเลยกว่านางจะได้โอกาสเช่นในวันนี้ นางจะยอมพลาดไปเพียงเพราะเหตุนี้ได้อย่างไรกัน!
รีบคลานเข่าสองก้าวไปก้มตัวต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ พลางร้องอ้อนวอนเสียงดัง “ขอฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! ซูหลีมีความผิดจริง แต่ขอฝ่าบาทโปรดฟังซูหลีเอ่ยให้จบก่อนเถิดเพคะ!”
ฮ่องเต้ไม่สนใจนางสักนิด เพียงสะบัดแขนเสื้อใส่นาง การกระทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่ปรานี คล้ายไม่อยากฟังนางเอ่ยอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ตามคาด ความโปรดปรานของฮ่องเต้เป็นดั่งหมอกควันที่ผ่านตา เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนที่สุด แต่ยามนี้สิ่งที่นางต้องการมากที่สุด กลับเป็นความโปรดปรานที่ไม่จีรังยั่งยืนนั่น
ทหารองครักษ์สิบกว่านายเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เอื้อมมือเข้ามาหมายจะคว้าตัวนางลากออกไป ซูหลีพลันบังเกิดปณิธานแน่วแน่และบันดาลโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่านางรู้ดีแก่ใจว่ามิอาจใช้วรยุทธ์ในเวลาเช่นนี้ มิเช่นนั้นก็มีแต่จะรนหาที่ตายเท่านั้น! แต่จะให้นางยอมโดนจับแต่โดยดี และปล่อยให้โอกาสลบล้างมลทินหลุดลอยไป นางกลับไม่อาจทำได้
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งที่เพียรพยายามทำมาใกล้จะสูญเปล่าไปต่อหน้าต่อตา ซูหลีพลันเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อฮ่องเต้ แหงนหน้ามอง และถามเขาว่า “ฝ่าบาทไม่ยอมฟังวาจาของซูหลี หรือว่าจะยอมถูกผู้คนใต้ฟ้าหัวเราะเยาะเพคะ?”
สายตาฮ่องเต้ดุดัน หรี่ตามองนาง ถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้สีหน้าโกรธเกรี้ยว สายตาคมปลาบดั่งกระบี่ เห็นชัดว่านี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามังกรพิโรธแล้ว น่าพรั่นพรึงจนเหล่าขันทีและนางกำนัลต่างพากันถอยกรูดไปยืดนอกรัศมีสิบลี้ แต่ซูหลีกลับเงยหน้ากระดกคิ้วมองหน้าฮ่องเต้ตรงๆ อย่างไม่กลัวความตาย เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ซูหลีเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยาในจวนอัครเสนาบดี ในสายตาชาวโลกเป็นหญิงอัปมงคล เพียงชั่วข้ามคืนกลับกลายเป็นท่านหญิงหมิงซี และได้รับโอกาสให้เลือกหนึ่งในสี่องค์ชายเป็นสวามี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท คนที่ฝ่าบาทโปรดปราน หากเป็นสตรีไร้ยางอายจริง ฝ่าบาทจะไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือเพคะ?”
“บังอาจ!” สายตาคมปลาบของฮ่องเต้กวาดมองใบหน้านางอยู่อย่างนั้น สีหน้าจริงจังของซูหลีแสดงให้เห็นชัดเจนว่านางไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายใดๆ อีกแล้ว! ฮ่องเต้โบกมือสั่งให้ทหารองครักษ์ถอยออกไป นิ่งงันไตร่ตรอง ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ก็ได้ ข้าไม่ใช่กษัตริย์โง่เขลาเบาปัญญาดังเจ้าว่าจริงๆ เจ้าอยากพูดสิ่งใด? พูดมา”
…………………………………………………