กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 136 วิญญาณเข้าฝัน (1)
ซูหลีรีบปล่อยชายเสื้อฮ่องเต้ทันที นางคลานเข่าถอยหลังเล็กน้อย ก่อนก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยฝ่าบาทดพคะ! วันนี้ที่ซูหลีบังอาจทดลองใช้ยา แท้จริงแล้วมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นอย่างเสียมิได้จริงๆ…”
นางหยุดเอ่ยไปเล็กน้อย กล้ำกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น ดวงตางามมีน้ำตารื้นขึ้นมา
บนตำหนักใหญ่พลันเงียบงัน จนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน
“ฝ่าบาททรงยอมผิดกฎเพื่อแต่งตั้งให้ซูหลีเป็นท่านหญิง ทั้งยังทรงเมตตาจัดพิธีคัดเลือกสวามีในครานี้ให้อีกด้วย ซูหลีซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง รู้สึกหวงแหนเกียรติยศที่ไม่ใช่จะได้รับกันง่ายๆ เช่นนี้ยิ่งนัก และอยากใช้โอกาสนี้เลือกสวามีในดวงใจเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นกันเพคะ! แต่ว่า…”
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะถาม “แต่ว่าอะไร?”
ซูหลีกล่าว “แต่เกียรติยศทั้งหมดนี้ เดิมทีควรเป็นของท่านหญิงหมิงอวี้เพคะ!”
“วาจานี้เจ้าหมายความว่าเช่นไร?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างข้องใจ
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ “ฝ่าบาทอาจไม่ทรงทราบ เนื่องจากข่าวลือที่ว่าซูหลีเป็นหญิงอัปมงคล แต่เล็กจึงถูกขังไว้ในเรือนด้านหลังของจวนอัครเสนาบดี ไม่เคยก้าวออกจากประตูแม้สักก้าว ท่านพ่อไม่เคยให้อาจารย์คนใดมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ซูหลีสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการร่ายรำ”
ฮ่องเต้ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เช่นนั้นการร่ายรำที่เจ้าแสดงในคราก่อน เจ้าไปเรียนมาจากที่ใด?”
ซูหลีตอบ “การร่ายรำนั้นมีชื่อว่า ‘นกเพลิงสยายปีก’ เพคะ เป็นท่านหญิงหมิงอวี้สอนซูหลีในความฝัน ยังมีกลอนบทนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านหญิงสอนซูหลีทั้งนั้น ลายมือของซูหลีเหมือนกับลายมือของท่านหญิงทุกประการ หากฝ่าบาทไม่เชื่อ จะพิสูจน์ดูก็ย่อมได้เพคะ”
ทุกคนเมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
คนผู้หนึ่ง สามารถเรียนการร่ายรำและเขียนกลอนจากความฝันได้อย่างนั้นหรือ?
ฮ่องเต้เองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน การร่ายรำในครั้งนั้นงดงามตระการตา นึกไม่ถึงว่าท่วงท่าร่ายรำอันงดงามอ่อนช้อยเช่นนั้นกลับฝึกฝนมาจากความฝัน ถูกสอนโดยวิญญาณคนตายงั้นหรือ?! นี่มัน…แทบไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย! แต่ว่า นางพูดเหมือนเป็นเรื่องจริงถึงเพียงนั้น สีหน้าก็ไม่มีวี่แววหลอกลวงสักนิด ฮ่องเต้อึ้งงัน ขมวดคิ้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ทหาร! รีบไปเรียกเซ่อเจิ้งอ๋องกับท่านอัครเสนาบดีมาเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ช้าก่อน!” ฮ่องเต้ครุ่นคิด แล้วกล่าวอีกว่า “ให้เซ่อเจิ้งอ๋องนำสมุดบันทึกของท่านหญิงหมิงอวี้มาด้วย!”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์รับคำแล้วรีบรุดลงจากหออวิ๋นเยียน ออกจากพระราชวังส่วนพระองค์ มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งแคว้นเฉิงด้วยความเร็วไม่ต่างจากโบยบิน
โชคดีที่ระยะทางจากพระราชวังส่วนพระองค์เซียวซานไปถึงเมืองหลวงไม่ถือว่าไกลมาก ไปกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่ในเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ สำหรับคนทุกผู้ที่อยู่ในพระราชวังส่วนพระองค์กลับยาวนานราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ทุกวินาทีล้วนทรมาน เพราะองค์ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งด้านบนไม่ยอมเอ่ยวาจาใดเลย ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าปริปากสักคำ
บรรยากาศรอบตัวราวกับถูกแช่แข็งไปแล้ว ทุกคนต่างรอคอยเพียงคำตอบเดียว คำตอบที่เหนือความคาดหมายจนผู้คนไม่อาจจินตนาการได้
เวลาค่อยๆ เดินไปอย่างเชื่องช้า บนหออวิ๋นเยียน องค์ชายทั้งสี่และฮองเฮาต่างกลับไปนั่งยังตำแหน่งของตนเองภายใต้การส่งสัญญาณของฮ่องเต้ มีเพียงซูหลีที่ยังคงคุกเข่าเงียบๆ อยู่บนพื้นเช่นเดิม ขาทั้งสองข้างเริ่มเหน็บชา ไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่านางยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ภายนอกดูสงบนิ่ง แท้จริงในใจกลับสับสนอลหม่านไปหมดแล้ว
จะได้พบเสด็จพ่อแล้ว! ไม่รู้ว่าหากเสด็จพ่อพบหน้านางแล้วจะมีสีหน้าเช่นไร? ครั้นนึกถึงความเย็นชาของเสด็จพ่อในวันนั้นที่นางกลับไปที่จวนอีกครั้ง นางก็เจ็บปวดดั่งถูกมีดกรีดแทงหัวใจอย่างไม่อาจควบคุม
หลีเฟิ่งเซียนและซูเซียงหรูก้าวขึ้นมาบนหออวิ๋นเยียนพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าพิธีคัดเลือกพระสวามีที่เดิมทีควรมีการสังสรรค์รื่นเริง ยามนี้กลับมีบรรยากาศแปลกไป ก็อดหวั่นใจไม่ได้
ทั้งสองต่างสาวเท้ามายืนข้างกายซูหลี
ซูเซียงหรูเห็นซูหลีใบหน้าซีดขาว ดูก็รู้ว่านั่งคุกเข่ามานานแล้ว อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจพลันบังเกิดความกังวล รีบคุกเข่าถวายบังคมฮ่องเต้ ส่วนหลีเฟิ่งเซียนนั้น เพราะเป็นถึงเซ่อเจิ้งอ๋อง เคยได้รับพระราชทานอนุญาตให้ยามเข้าพบฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องคุกเข่า เพียงโค้งกายคำนับเท่านั้น ทว่าครั้นหางตาเหลือบเห็นดวงหน้าอันคุ้นเคยของซูหลี เขาก็พลันเบิกตากว้าง
หลังจากพิธีคัดเลือกพระชายา ก็มีข่าวลือว่าบุตรีอนุภรรยาจวนอัครเสนาบดีมีใบหน้าคล้ายกับหลีซู เขายังไม่คิดใส่ใจมากนัก ยามนี้เมื่อพบเห็น หัวใจพลันสั่นสะท้าน นี่มัน…นี่มันไม่ใช่แค่คล้าย แทบจะเหมือนกันทุกประการเลยก็ว่าได้! เขาอึ้งงันไปทันที
ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้น จึงกระแอมเบาๆ สองครั้ง
หลีเฟิ่งเซียนได้สติทันที ฝืนข่มความตื่นตะลึงในใจ หันไปถามฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมาที่นี่ ไม่ทราบว่าทรงมีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบคำถามทันที เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด ไม่อาจอธิบายได้ในเวลาสั้นๆ ฮ่องเต้โบกมือสั่งคนให้จัดที่นั่งเบื้องล่างเขาสองที่ “ท่านทั้งสอง เชิญนั่ง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” กล่าวขอบคุณและเข้าไปนั่ง บุรุษสองคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกันในราชสำนักมาโดยตลอด ล้วนตระหนักได้ว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่ปกติ อดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยที่ไร้คำตอบ
ฮ่องเต้กล่าว “เซ่อเจิ้งอ๋อง สมุดบันทึกยามยังมีชีวิตอยู่ของท่านหญิงหมิงอวี้ ท่านนำมาด้วยหรือไม่?”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง กระหม่อมมีหรือจะกล้าขัดพระบัญชา!” หลีเฟิ่งเซียนรีบล้วงสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกจากแขนเสื้อ มาน้อมส่งให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้รับไปด้วยมือตนเอง ก่อนจะหยิบกลอนที่ซูหลีเขียนขึ้นก่อนหน้านี้มาเทียบดู มองแวบแรกก็รู้ว่าลายมือในสมุดและกลอนนั้นคล้ายกันจนเหมือนเป็นลายมือของคนคนเดียวกัน ฮ่องเต้สีหน้าหนักอึ้ง จ้องหน้าซูหลี แล้วกล่าวว่า “ซูหลี เมื่อข้าพูดหนึ่งประโยค เจ้าต้องรีบเขียนตามทันที”
ซูหลีรีบรับคำอย่างนอบน้อม “เพคะ ฝ่าบาท”
พู่กันและกระดาษถูกนำมาวางตรงหน้า มือเรียวของซูหลีที่ยกพู่กันขึ้นนิ่งสงบอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้พลิกเปิดสมุดเล่มเล็ก ก่อนจะสุ่มเลือกมาหนึ่งหน้า และอ่าน “คนโง่เขลากล่าวว่าอัปลักษณ์ยังพอทน ครั้นผู้มีปัญญากล่าวว่าอัปลักษณ์ จะยังเหลือเกียรติใดอีกหรือ? เมื่อใดส่องคันฉ่อง ให้พึงระลึกว่าจิตใจใสสะอาดแล้วหรือไม่”
ซูหลีตวัดมือเขียนอักษรเพียงพริบตาก็เสร็จ ซูเซียงหรูเห็นเช่นนั้นก็ปากอ้าตาค้าง! นางเขียนอักษรงดงามขนาดนั้นเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน?
หลีเฟิ่งเซียนเมื่อเห็นลายมือของซูหลี สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที! สตรีนางนี้ไม่เพียงมีใบหน้าเหมือนซูหลี แม้แต่ลายมือก็ยังเหมือนกันถึงเพียงนี้! นาง นาง นางเป็นใครกันแน่?
สายตาฉงนฉงายของฮ่องเต้มองกลับไปกลับมาระหว่างอักษรที่ซูหลีเขียนกับสมุดบันทึกของหลีซู ก่อนจะหันไปถามซูเซียงหรู “ท่านอัครเสนาบดีซู จำลายมือของซูหลีได้หรือไม่?”
ซูเซียงหรูอึ้งงัน รีบกล่าวตอบ “ทูลฝ่าบาท ซูหลีไม่เคยร่ำเรียนวิชาตั้งแต่เด็ก นางเขียนหนังสือไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ! นี่มัน…”
ฮ่องเต้แค่นหัวเราะเย็นชา “เขียนหนังสือไม่เป็นงั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าดูให้ดี นี่เป็นสิ่งที่นางเขียนขึ้นมาเองกับมือ!”
“กระหม่อม…มิกล้า…บางทีบุตรสาวของกระหม่อม…อาจมีพรสวรรค์…” เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากเขา เขาอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี
ฮ่องเต้มองซูหลีด้วยแววตาครุ่นคิด ไม่ได้ถามอะไรอีก
พรสวรรค์? ถึงแม้อย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะสามารถฝึกเขียนจนมีลายมือเหมือนกับหลีซูทุกประการเช่นนี้ได้!
หลีเฟิ่งเซียนเบิกตากว้างอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน และเดินมาทางซูหลีด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง
ซูหลีเองก็เงยหน้ามองเขา พ่อลูกที่ในอดีตเคยรักใคร่ปรองดองกันมากที่สุดคู่หนึ่ง ยามนี้สบตากันอีกครั้ง ทว่ากลับไร้ซึ่งความรักและทะนุถนอมดังเช่นวันวาน เหลือก็แต่ความตกตะลึงและสับสนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เจ้า เจ้า เจ้า…” เปิดปากก็ขานเรียกคำว่า ‘เจ้า’ ออกมาถึงสามครั้ง ริมฝีปากของหลีเฟิ่งเซียนสั่นระริก กลับเอ่ยวาจาอื่นใดไม่ออกอีก
ซูหลีฝืนข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจอย่างสุดกำลัง แย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย เอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “ซูหลีถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ!”
ซูหลี?! หากเป็นหลีซูบุตรีของเขา นางไม่มีทางเอ่ยวาจากับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้แน่นอน นางคือซูหลี บุตรีแห่งจวนอัครเสนาบดี! แต่พวกนางเหมือนกันเหลือเกิน! ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือบุคลิก ล้วนเหมือนซีจินชายาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน! หลีเฟิ่งเซียนรีบเลื่อนสายตาออกจากใบหน้านางทันที เขาแหงนหน้าสูดหายใจลึกๆ หมุนกายเดินกลับไปยังตำแหน่งตนเอง และนั่งลงเงียบๆ
…………………………………………