กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 137 วิญญาณเข้าฝัน (2)
ฮ่องเต้ถามซูเซียงหรูอีกว่า “ซูหลีเคยเรียนการร่ายรำหรือไม่?”
ร่ายรำ? ซูเซียงหรูอึ้งงัน ในพิธีคัดเลือกพระชายานางได้รับคำชม และยังได้รับการอวยยศเป็นท่านหญิงจากฮ่องเต้ก็เพราะการร่ายรำครั้งนั้นมิใช่หรือ? แต่ยามนี้ฮ่องเต้กลับถามเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือการร่ายรำนั้นมีอะไรไม่ถูกต้อง? ซูเซียงหรูมองซูหลีอย่างไม่เข้าใจ และหันไปมองฮ่องเต้อีกครั้ง ครั้นเห็นว่าสีพระพักตร์ยากคาดเดา จึงรีบลุกออกจากที่นั่งมาคุกเข่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย! กระหม่อม…กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “นางเป็นบุตรสาวของท่าน เหตุใดท่านจึงไม่รู้?”
เดิมทีเขารู้ เพียงแต่ตอนนี้…เหงื่อเย็นไหลอาบหน้าผากซูเซียงหรู เขาก้มหน้าตอบ “ยามปกติกระหม่อมมีราชการติดพัน เรื่องในบ้านฮูหยินเป็นผู้ดูแล กระหม่อมน้อยนักจะถามไถ่ ซูหลีร่างกายอ่อนแอแต่เล็ก อาศัยอยู่ในเรือนด้านหลังจวนมาโดยตลอด ไม่ค่อยออกมาพบปะผู้คนนัก สิบกว่าปีมานี้ กระหม่อมพบหน้านางนับครั้งได้ จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับนางไม่มาก ฝ่าบาทโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เอ่ยวาจาฟังดูสูงส่ง! บิดาผู้หนึ่งพบหน้าบุตรสาวตนเองนับครั้งได้ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นคือบุตรสาวผู้นั้นไม่เป็นที่รักของเขา! ซูหลีหยักยิ้มเย็นชาที่มุมปาก ได้ยินเพียงฮ่องเต้ถาม “เช่นนั้นเจ้าเคยหาอาจารย์มาสอนนางหรือไม่?”
“ไม่ ไม่เคยพ่ะย่ะค่ะ…!
“เช่นนั้นนางร่ายรำเป็นได้อย่างไร ซ้ำยังร่ายรำได้งดงามถึงเพียงนั้น ท่านไม่รู้เหตุผลเลยหรือ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม…ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
“ช่างเป็นบิดาที่ดีเสียจริง!” น้ำเสียงเสียดสีชัดเจนสุดแสน ทว่าประโยคนี้ กลับไม่ได้ออกจากปากฮ่องเต้ แต่เป็นตงฟางจั๋ว ถึงแม้ยังตกตะลึงกับเรื่องที่หลีซูมาเข้าฝันเรียกร้องความยุติธรรม แต่เมื่อตงฟางจั๋วได้ยินว่าซูเซียงหรูไม่ไยดีซูหลีถึงเพียงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียดสีขึ้นมาประโยคหนึ่ง
ซูเซียงหรูไม่ชอบใจนัก แต่ภายนอกกลับไม่กล้าโต้แย้งแม้สักน้อย ทำได้เพียงก้มหน้าต่ำ ฮ่องเต้เลื่อนสายตาผ่านเขา ทอดมองไปยังซูหลีที่อยู่ข้างหลัง “ซูหลี การร่ายรำที่เจ้าแสดงในครั้งก่อน ทำมันอีกครั้ง”
ซูหลีรับคำ ก่อนจะทำการร่ายรำช่วงที่มีท่วงท่างดงามที่สุดในบทเพลง ‘นกเพลิงสยายปีก’ ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเดียว และนางก็ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องมาเพื่อการแสดง แต่ท่วงท่าอันอ่อนช้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของนาง กลับทำให้ผู้คนรอบข้างอึ้งค้าง
หลีเฟิ่งเซียนพลันลุกพรวด ถามด้วยใบหน้าตื่นตะลึงสุดขีด “เจ้าร่ายรำบทเพลงนี้เป็นได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้เอ่ยถามโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทางอันใด “บทเพลงนี้ทำไมหรือ?”
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวตอบ “บทเพลงนี้…คือ ‘นกเพลิงสยายปีก’ ในตำนาน เดิมทีได้สูญหายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดร่ายรำเป็นอีก ซีจินบังเอิญได้สมุดภาพมาเล่มหนึ่ง นางเรียบเรียงและแก้ไขบทเพลงนี้ขึ้นมาใหม่จากภาพที่วาดไว้ในสมุดเล่มนั้น หลีซูจึงตัดสินใจว่าจะใช้บทเพลงล้ำค่าที่สูญหายไปจากโลกบทเพลงนี้ถวายการแสดงเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพบหน้าแก่ฝ่าบาทและฮองเฮา นอกจากระหม่อมและซีจิน ก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นอีก! นางร่ายรำเป็นได้อย่างไรกัน?”
ผู้คนรอบด้านตื่นตะลึงไปอีกครั้ง! ถ้าหากบอกว่าวิญญาณเข้าฝันเพื่อทวงความยุติธรรมเป็นเรื่องเหลวไหล เช่นนั้นการร่ำเรียนวิชาและฝึกฝนการร่ายรำจากความฝัน ก็ยิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ทว่าทั้งหมดนี้ กลับไม่มีคำอธิบายอื่นอีกแล้ว!
ซูหลีไม่เคยออกจากเรือนตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีผู้ใดสอนนางอ่านเขียนหนังสือ นางกลับสามารถเขียนกลอนขึ้นมาได้ ซ้ำยังมีลายมือที่เหมือนกับท่านหญิงหมิงอวี้ทุกประการ และยังสามารถร่ายรำบทเพลงที่มีแต่ท่านหญิงหมิงอวี้ร่ายรำเป็นอีกด้วย นี่มัน…นอกจากวิญญาณของหลีซูมาเข้าฝันแล้วสอนนาง ยังมีเหตุผลใดสามารถอธิบายได้อีกหรือ?
ฮ่องเต้สูดหายใจอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เรื่องจริงมากมายถึงเพียงนี้ นอกจากวิญญาณเข้าฝัน ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีกแล้ว เขามองซูหลีพลางถามเสียงเย็นชา “เจ้าบอกว่าท่านหญิงหมิงอวี้ถูกคนให้ร้าย เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? เจ้าจงเล่ามาให้หมดว่าท่านหญิงหมิงอวี้มาเข้าฝันเจ้าได้อย่างไร และนางพูดอะไรบ้างในความฝันของเจ้า”
“เพคะ ฝ่าบาท” ซูหลีรับคำด้วยท่าทางสงบนิ่ง สูดหายใจลึกๆ สงบจิตใจ และค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดที่นางเตรียมพร้อมมาแล้ว
“วันแต่งงานของท่านหญิงวันนั้น ซูหลีถูกพี่สาวตีจนสลบเพราะเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง และถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน” เพียงประโยคเปิดเรื่อง ก็ทำเอาซูเซียงหรูหน้าถอดสีไปทันที ใจพลันเต้นไม่เป็นส่ำ
ซูหลีราวกับมองไม่เห็น ก่อนเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาต่อ “ในห้วงหลับใหล หม่อมฉันเห็นท่านหญิงหมิงอวี้! ยามนั้น นางสวมชุดแต่งงานที่ถูกฉีกทึ้งจนขาดวิ่น เลือดท่วมกาย ใบหน้าซีดขาว กลางหน้าอกมีกระบี่คมเล่มหนึ่งปักคาไว้ บนกระบี่เล่มนั้นมีรอยแหว่งอยู่รอยหนึ่ง เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากรอยแหว่งนั้นไม่ขาดสาย จนหม่อมฉันแทบจมมิดในกองเลือด!”
ซูหลีพลันเว้นวรรค เพราะนางพูดรัวเร็วด้วยความร้อนใจ จึงหายใจไม่ทัน
สายลมพัดผ่านร่างกายทุกคนไปวูบหนึ่ง พาเอาความเย็นปกคลุมหัวใจพวกเขาทันที พวกเขาราวกับมองเห็นวิญญาณดวงนั้นในความฝันของนาง เลือดสีแดงสดท่วมกาย ใบหน้าซีดขาว ทั่วร่างเต็มไปด้วยไอแค้นที่ไม่อาจลบล้างมลทินให้ตนเองได้…
แสงตะวันรอบกายพลันหม่นหมองลงทันที ราวกับเวลาได้ล่วงเลยมาถึงยามพลบค่ำในพริบตา คนทุกผู้ในที่แห่งนี้ราวกับถูกเสียงแหบต่ำและสั่นพร่าของซูหลีสะกดให้เข้าสู่ความฝันของนางอย่างไรอย่างนั้น
นางเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังบิดาของตนเอง สายตาพลันเย็นชาลงเล็กน้อย
หลีเฟิ่งเซียนสะท้านไปทั้งตัว สองมือสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม มองหน้านางอย่างตกตะลึง ไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้อีก เพราะหลังจากที่ศพของหลีซูถูกงมขึ้นมา เขาเห็นกระบี่คมที่มีรอยแหว่งเล่มนั้นปักอยู่กลางอกของนาง! เขาเคยพยายามสืบหาร่องรอยของฆาตกรที่ฆ่าบุตรสาวของตนเองผ่านกระบี่เล่มนั้น แต่กลับไร้ผล
ฮ่องเต้ลอบเหล่มอง สีหน้าและการกระทำของหลีเฟิ่งเซียนล้วนอยู่ในสายตาเขา ทว่ากลับไม่เอ่ยวาจาใด
ซูหลีเอ่ยเสียงสั่น “ยามนั้นหม่อมฉันกลัวมาก แต่นางบอกหม่อมฉันว่านางจะไม่ทำร้ายหม่อมฉัน นางเพียงอยากให้หม่อมฉันช่วยนางสืบหาความจริง และคืนความเป็นธรรมให้นาง!”
น้ำเสียงโศกเศร้าหม่นหมอง สะท้อนถึงความคับข้องใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่อาจลบล้างได้ พาให้ผู้ที่ได้ยินต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ยามนั้นท่านหญิงเป็นลมหมดสติไปตอนคำนับฟ้าดิน หมอหลวงสิบแปดท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน บอกว่านางตั้งครรภ์ ดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ! นางอยู่ในทำนองคลองธรรมมาตั้งแต่เด็ก ปฏิบัติตนอย่างมีมารยาทมาโดยตลอด ไม่เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชายใดมาก่อน แต่จิ้งอันอ๋องกลับไม่เชื่อนาง!”
ตงฟางจั๋วตกใจจนเบิกตากว้าง บาดแผลในส่วนลึกของหัวใจเริ่มเจ็บปวดอย่างรุนแรง เจ็บจนตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร ท่านหญิงหมิงอวี้ก็ไม่อาจพิสูจน์ตนเองได้ จิ้งอันอ๋องบันดาลโทสะหย่าขาดจากนาง ทำให้นางเจ็บปวดสิ้นหวัง ฉีกหนังสือหย่าขว้างใส่หน้าจิ้งอันอ๋องทันที…” น้ำเสียงชะงักไปเล็กน้อย นางพลันหลับตาแน่น ไม่อยากหวนนึกถึงอดีต เอ่ยถึงเมื่อใด ก็ราวกับมีมีดคอยทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของนาง
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก ฉีกหนังสือหย่าขว้างใส่หน้าอีกฝ่าย ช่างเป็นสตรีที่มีนิสัยแข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งนัก! และพฤติกรรมเช่นนั้น เหตุใดจึงทำให้เขารู้สึกว่าเหมือนกับนิสัยของซูหลีเหลือเกิน?! หรือว่าซูหลีและหลีซู เดิมก็เป็นคนแบบเดียวกันอยู่แล้ว? มองดูซูหลีหลับตาแน่น ใบหน้าซีดขาว ราวกับเรื่องที่นางกำลังเล่าล้วนเป็นเรื่องที่นางประสบมาด้วยตนเอง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะปวดใจ จนบังเกิดความรู้สึกอยากรั้งตัวนางเข้ามากอดแน่นๆ
เมื่อหันมองอีกด้าน ก็เห็นเพียงตงฟางจั๋วกำลังเบิกตากว้าง จ้องซูหลีอย่างตะลึงงัน สองหมัดกำแน่น ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด แววแห่งความสำนึกผิดและแค้นใจตนเองฉายชัดในดวงตา แม้แต่จะหายใจ ก็ราวกับเป็นเรื่องลำบากขึ้นมาทันที ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ทว่ายังคงไม่เอ่ยวาจาใด รอให้ซูหลีเล่าเรื่องต่อไป
ซูหลีลืมตา ค่อยๆ เปิดปากเล่าต่อว่า “หลังจากฉีกหนังสือหย่า ท่านหญิงหมิงอวี้ก็ออกจากจวนจิ้งอันอ๋อง เพราะกลัวการเผชิญหน้ากับบุพการีอันเป็นที่รักทั้งสอง นางจึงวิ่งไปที่แม่น้ำหลานชาง หวังจะอยู่เงียบๆ เพียงลำพังสักครู่ ใครเล่าจะคาดคิดว่าที่นั่นกลับมีมือสังหารรอนางอยู่!”
………………………………………………………………..