กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 138 วิญญาณเข้าฝัน (3)
ทุกคนตกตะลึง!
ช่วงที่หลีซูออกจากจวนอ๋องและจมน้ำตายที่แม่น้ำ ไม่มีผู้ใดพบเห็นนางเลยสักคนจริงๆ ไม่รู้ว่ายามนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ครั้นได้ยินซูหลีพูดถึงเรื่องฆาตกร ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญหายกันถ้วนหน้า
“ฆาตกรคนนั้นสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า มีวรยุทธ์ร้ายกาจ ท่านหญิงหมิงอวี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยสักนิด สุดท้ายก็ถูกเขาใช้กระบี่แทงทะลุหน้าอก จมน้ำและสิ้นใจตาย แต่ในชั่วเสี้ยวขณะก่อนที่จะตกน้ำ ท่านหญิงแข็งใจคว้าปิ่นทองบนศีรษะแทงไปที่ท้องของฆาตกร!”
บนตำหนักใหญ่มีเสียงร้องตกใจอย่างลืมตัวดังขึ้น ราวกับมองเห็นภาพโฉมสะคราญผู้ไม่เป็นสองรองใครนางนั้นถูกแทงจนตกลงไปในแม่น้ำด้วยสภาพเลือดท่วมตัวจริงๆ
“นางสิ้นลมหายใจ ความอยุติธรรมที่ได้รับกลับจมหายไปดั่งก้อนหินใต้แม่น้ำ ไม่มีผู้ใดรับรู้! ฉะนั้นนางจึงตายตาไม่หลับ หวังว่าจะมีคนงมศพของนางขึ้นมาในเร็ววัน เพื่อที่บิดาของนางจะได้เรียกร้องความเป็นธรรมให้นาง ตามจับตัวคนร้ายที่ฆ่านาง! แต่ว่า…”
น้ำเสียงสะดุด จู่ๆ นางก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใดได้อีก จนถึงตอนนี้นางยังไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่นาง เหตุใดไม่ตามจับฆาตกร แต่กลับปกปิดความจริงที่นางไม่ได้ฆ่าตัวตายเอาไว้?
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของนางที่ทอดมองมา หลีเฟิ่งเซียนเบือนหน้าหนี ดวงตาทั้งสองข้างแดงเรื่อ ใบหน้าที่เลยวัยหนุ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัย เขามองฮองเฮาแวบหนึ่ง ฮองเฮากำลังขมวดคิ้วจ้องซูหลีไม่วางตา
ซูหลีกล้ำกลืนก้อนสะอื้น แหงนหน้าฝืนกลั้นน้ำตาที่ใกล้จะทะลักออกจากเบ้าตางาม จากนั้นเอ่ยต่อว่า “ท่านหญิงหมิงอวี้บอกว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ เห็นชัดว่าเป็นแผนการที่ถูกจัดฉากขึ้นมา! มีคนต้องการทำร้ายนาง นางต้องการให้ซูหลีตามหาคนร้ายตัวจริง! หลังตื่นจากความฝัน ซูหลีไม่สบายใจมาโดยตลอด ต่อมาได้ยินข่าวท่านหญิงหมิงอวี้ตั้งครรภ์ก่อนแต่ง กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ซูหลีตกใจอย่างถึงที่สุด! ประจวบเหมาะกับตอนที่ซูหลีถูกโจรไล่ล่าบังเอิญพบเจิ้นหนิงอ๋อง ได้ยินว่าเจิ้นหนิงอ๋องจะไปเซ่นไหว้ท่านหญิงหมิงอวี้ที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ซูหลีจึงบังอาจขอร้องท่านอ๋องให้พาซูหลีไปด้วย…”
หลีเฟิ่งเซียนดวงตาเบิกกว้าง พลันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผู้ติดตามท่าทางแปลกๆ ที่มาเยือนจวนเซ่อเจิ้งอ๋องพร้อมกับตงฟางเจ๋อ แม้ว่าเจ้านายออกจากเรือนไปแล้วนางกลับยังยืนเหม่ออยู่ในห้อง ยามนั้นเขายังนึกแปลกใจ คนเช่นเจิ้นหนิงอ๋อง เหตุใดจึงเก็บคนไม่รู้กฎเกณฑ์เช่นนั้นไว้ข้างกาย? ที่แท้ก็เป็นซูหลีปลอมตัวมา!
ตงฟางเจ๋อสายตาสั่นระริก มองนางเงียบๆ ขณะที่ความคิดของเขาถูกนางพาย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในวันนั้น
“นั่นเป็นห้องโถงไว้ทุกข์ที่น่าเวทนาที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยเห็นมา! เพราะมีความผิดฐานไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ชาวโลกต่างพากันประณาม ทั่วทั้งจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง มีเพียงเหลียนเอ๋อร์ สาวรับใช้คนสนิทยามนางยังมีชีวิตเฝ้าอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว! ไม่นานหลังจากนั้นพระชายาก็เสด็จมาเช่นกัน…เพราะไม่เชื่อว่าท่านหญิงหมิงอวี้จะประพฤติตนไม่เหมาะสมดังเช่นที่ชาวโลกลือ ยิ่งไม่เชื่อว่าท่านหญิงหมิงอวี้ฆ่าตัวตายเพราะละอายใจในความผิด จึงสั่งให้คนเปิดโลงเพื่อตรวจสอบศพ…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ นางหยุดพูดไปอีกครั้ง ลำคอราวกับถูกบีบรัด ทุกครั้งที่หายใจล้วนรู้สึกเจ็บปวดสุดแสน นางไม่มีทางลืมเสียงร่ำไห้ปานใจจะขาดของเสด็จแม่ และภาพที่นางตายตาไม่หลับในวันนั้นอย่างแน่นอน นางหลับตาเบาๆ ฝืนเก็บซ่อนความเจ็บปวดและความโศกเศร้าที่ไม่อาจควบคุมไว้ใต้หนังตาที่ดูเหมือนสงบนิ่ง ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ายามที่นางเอ่ยคำว่า ‘พระชายา’ ร่างของหลีเฟิ่งเซียนสั่นสะท้านไปทั้งตัว สายตาสะท้อนความเจ็บปวดรวดร้าวชัดเจน!
ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ยังไม่มีผู้ใดส่งเสียง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม “เจ๋อเอ๋อร์ ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ด้วยหรือ? หลังจากเปิดโลง ผลการตรวจสอบศพเป็นเช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อหลุบตาต่ำ ถอนหายใจเบาๆ “ยามนั้นลูกอยู่ไกลจากโลงศพค่อนข้างมาก มิได้เห็นสภาพอันน่าอนาถของศพท่านหญิงหมิงอวี้กับตาตนเอง แต่ว่า… ลูกกลับเห็นกับตา ว่าพระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องตรอมใจจนสิ้นใจตายไปทันทีที่เห็นลักษณะการตายอันน่าอเนจอนาถของท่านหญิงหมิงอวี้…ก่อนสิ้นใจ พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องยังทิ้งคำสั่งเสียไว้ กำชับให้สาวใช้ข้างกายสืบหาความจริงมาทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านหญิงหมิงอวี้ให้จงได้!”
เพียงวาจาไม่กี่ประโยคนี้ ก็มากพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าท่านหญิงหมิงอวี้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย!
เหล่าธารกำนัลต่างพากันทอดถอนใจ ก่อนจะหันไปมองเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นตาเดียว พวกเขามองเห็นเพียงแววตาแห่งความเจ็บปวดอันลึกซึ้งของเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน และกลิ่นอายความโศกเศร้าที่แผ่ปกคลุมรอบกายเขา
ซูหลีกำมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดในใจล้นทะลักจนแทบควบคุมไม่ไหว ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเซ่อเจิ้งอ๋องจึงต้องปิดบังไม่รายงาน? หรือท่านไม่อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่บุตรีของตนเอง?”
ซูหลีเงยหน้าทันที นี่คือคำตอบที่นางอยากรู้มาโดยตลอด
หลีเฟิ่งเซียนหลับตาอย่างเจ็บปวดครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบเสียงเศร้า “กระหม่อมมีหรือจะไม่อยาก! ยามนั้นเพราะมัวห่วงอาการป่วยของซีจิน กลัวว่าหากนางรู้เข้าจะรับไม่ไหว แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังคง…”
หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงจนใจและเจ็บปวดสุดแสนของเขาทิ่มแทงหัวใจของซูหลีทันที ที่แท้เสด็จพ่อก็ไม่ได้ห่วงแต่เรื่องอำนาจไม่สนใจสายสัมพันธ์พ่อลูกดังเช่นที่นางคิด เขากังวลว่าเสด็จแม่จะรับเรื่องนี้ได้หรือไม่ต่างหาก! บางอย่างที่กำลังบีบรัดหัวใจนางแน่นจนแทบแหลกสลายพลันคลายออกเล็กน้อย
เงยหน้าลอบมองฮ่องเต้แวบหนึ่ง นางพบว่าสายตาของฮ่องเต้คล้ายกำลังข้องใจบางสิ่งอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะกัดฟันเอ่ยต่อ “หลังกลับจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านหญิงหมิงอวี้ก็มาปรากฏตัวในความฝันของหม่อมฉันแทบทุกคืน นางสอนหม่อมฉันเขียนอ่าน แต่งกลอน และร่ายรำ…
บทเพลง ‘นกเพลิงสยายปีก’ เป็นดังที่เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวไว้จริงๆ นางตั้งใจจะถวายการแสดงเพื่อเป็นของขวัญพบหน้าแก่ฝ่าบาทและฮองเฮาหลังจากแต่งงาน แต่นางกลับไม่มีโอกาสได้ถวายการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮาอีกต่อไปแล้ว! ฉะนั้นนางจึงหวังจะถวายการร่ายรำผ่านซูหลี เพื่อแสดงให้ฝ่าบาทและฮองเฮาเห็นถึงความตั้งใจนั้น ถึงแม้นางจะไม่ใช่สะใภ้ของราชวงศ์แล้วก็ตาม!”
“หลีซู…” นัยน์ตาของตงฟางจั๋วสะท้อนแววเจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะพึมพำชื่อนางออกมา ความสำนึกผิดและแค้นตนเองแสดงออกมาให้เห็นอย่างไม่อาจปิดบัง
ฮ่องเต้เองก็มีสีหน้าหวั่นไหว แววเสียใจพาดผ่านใบหน้า
ฮองเฮาทอดถอนใจ “น่าเสียดายแท้ๆ เด็กคนนี้!”
น่าเสียดาย? ซูหลีลอบหัวเราะเย็นชา นางไม่มีทางลืม ท่าทางชิงชังและดูถูกยามที่ฮองเฮาเอ่ยถึงเรื่องของหลีซู อีกทั้งประโยคที่บอกว่า ‘ท่านหญิงหมิงอวี้ทำตนเอง’ นางยังจำได้ขึ้นใจจนถึงตอนนี้!
สายตาไหวระริกเล็กน้อย ซูหลีหันไปทางตงฟางจั๋ว “ความจริงแล้ว เรื่องที่ทำให้ท่านหญิงหมิงอวี้เจ็บปวดและทรมานมากที่สุด ก็คือคำสาบานสามภพสามชาติที่จิ้งอันอ๋องเคยให้ไว้กับนางในสวนดอกไม้ของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง! ต้นหลีแตกกิ่งก้านนับพันครั้ง บุปผาบานสะพรั่งนับหมื่นหน หัวใจเป็นหนึ่งเดียว…”
“… ไม่เปลี่ยนผัน แม้นสามภพสามชาติก็ไม่แยกจาก!” ตงฟางจั๋วต่อบทกลอนด้วยน้ำเสียงร้าวรานใจ เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องนี้นางก็ยังบอกเจ้า!” ภาพยามบ่ายคล้อยของวันนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสตรีนางนั้นพลันผุดขึ้นในสมอง…
แสงตะวันยามบ่ายคล้อยสว่างสดใส ดอกหลีสีขาวสะอาดตาเบ่งบานเต็มสวน เด็กสาวรูปงามสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน กำลังยืนอยู่ลำพังใต้ต้นหลีต้นหนึ่ง นางแหงนหน้าขึ้นฟ้าเล็กน้อย กิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น ดุจดังเทพธิดาที่ปลีกตัวออกจากโลกอันแสนวุ่นวาย พาให้เขาใจเต้นแรงตั้งแต่แรกเห็น เขาเอื้อมมือเด็ดดอกหลีสีขาวสะอาดดอกหนึ่งมาเสียบไว้ในเรือนผมนางเบาๆ แล้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พร้อมกล่าวกับนางว่า ‘ต้นหลีแตกกิ่งก้านนับพันครั้ง บุปผางามบานสะพรั่งนับหมื่นหน หัวใจเป็นหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนผัน แม้นสามภพสามชาติก็ไม่แยกจาก!’
สามภพสามชาติไม่แยกจาก!
สามภพสามชาติ…ไม่แยกจาก…
“น่าเสียดายภพชาติเดียวยังไม่ทันจบสิ้น คำสาบานยังคงอยู่ แต่ความเชื่อใจกลับไม่เหลืออีกต่อไป สุดท้ายนางก็ต้องจากโลกนี้ไปพร้อมกับความอยุติธรรม!” ซูหลีคลี่ยิ้มเบาๆ รอยยิ้มนั้นดูคล้ายเสียดาย แต่กลับเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันและเย็นชา เมื่อสะท้อนในดวงตาของตงฟางจั๋ว ก็เป็นเหมือนดั่งดาบน้ำแข็งแหลมคมที่แทงทะลุหัวใจเขาอย่างรุนแรง
……………………………………………………………