กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 141 ขุนนางหญิงคนแรกแห่งแคว้นเฉิง (2)
ท่าทีของนางเต็มไปด้วยความจริงใจและนอบน้อม เรื่องที่ร้องขอก็สมเหตุสมผล ไร้ซึ่งข้อตำหนิ
สีหน้าของฮ่องเต้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาเพียงไม่อยากให้นางเลือกสองคนนั้น ในเมื่อนางตัดพวกเขาออกไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร ก็ล้วนอยู่ในการควบคุมของฮ่องเต้ เขาย่อมหมดห่วงแล้ว
“ดี! ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสามเดือน! เกากงกง!” ฮ่องเต้เรียกขันทีคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกาย “จงเขียนราชโองการเดี๋ยวนี้ แต่งตั้งท่านหญิงหมิงซีให้เป็นเจ้าหน้าที่หญิงกองบังคับการขั้นหนึ่ง รับผิดชอบตรวจสอบคดีของท่านหญิงหมิงอวี้ ระหว่างสืบสวนสามารถสั่งย้ายคนในกรมอาญาได้ตามเห็นสมควร ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ต้องให้ความร่วมมือทุกคน ห้ามบิดพลิ้วไปจากนี้!” หยุดกล่าวไปเล็กน้อย ก่อนจะกวาดมองไปทางตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋ว “พวกเจ้าสองคน คอยช่วยเหลือนางอยู่ข้างๆ ด้วย”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสองรับคำอย่างนอบน้อมพร้อมกัน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” ซูหลีคำนับกับพื้น ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่นางก็ยังไม่อาจข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในยามนี้ได้อยู่ดี หลังจากเพียรพยายามมาหลายเดือน ในที่สุดนางก็สามารถสืบสวนเรื่องที่ตนเองถูกฆาตกรรมได้อย่างเปิดเผยและถูกต้องแล้ว! นอกจากนี้ยังสามารถกลับไปยังสถานที่ที่เคยอาศัยอยู่เป็นเวลาสิบหกปีในอดีตได้อย่างเปิดเผยอีกด้วย!
ผู้คนรอบข้างเมื่อได้ยินพระราชโองการต่างก็อึ้งงัน พากันมองนางอย่างตกตะลึงระคนประหลาดใจ
พิธีคัดเลือกพระชายาในครั้งก่อน นางทำลายข่าวลือที่ว่าตนเองเป็นหญิงอัปมงคล จากบุตรีอนุภรรยาที่ไม่เคยเป็นที่โปรดปราน กลายเป็นท่านหญิงหมิงซีที่ผู้คนต่างให้ความสนใจ ได้รับเกียรติให้กลายเป็นสตรีคนแรกที่สามารถเลือกเหล่าองค์ชายมาเป็นพระสวามีได้ตามใจปรารถนา
พิธีคัดเลือกพระสวามีในครานี้ นางได้เลื่อนยศจากท่านหญิงขั้นสองเป็นขุนนางหญิงขั้นหนึ่ง! ตำแหน่งเจ้าหน้าที่กองบังคับการซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งแต่งตั้งขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ! นับแต่ในอดีต เดิมขุนนางหญิงก็มีน้อยมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางหญิงขั้นหนึ่งเลย อยู่ภายใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ยิ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
พิธีคัดเลือกพระสวามีของท่านหญิงหมิงซีที่สั่นคลอนจิตใจผู้คนมาหลายเดือน ในที่สุดก็ถูกจัดขึ้นที่พระราชวังส่วนพระองค์ แต่ปรากฏว่าสุดท้ายก็ยังค้างคาไม่รู้ผล ช่างทำให้ผู้คนทรมานเพราะความอยากรู้เหลือเกิน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแต่ละเรื่องล้วนมีพลังสั่นสะเทือนจิตใจผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องแรก คือเรื่องของหลีซูโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ที่การตั้งครรภ์ก่อนแต่งถูกเปิดโปง จึงฆ่าตัวตายเพราะละอายต่อความผิดของตนเอง ยามนี้กลับมีหลักฐานปรากฏว่านางถูกคนใส่ร้าย!
เรื่องที่สอง ยามนี้คนที่ฝ่าบาทมีราชโองการให้ตรวจสอบคดีนี้อย่างละเอียด ก็คือซูหลี ท่านหญิงหมิงซีที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางหญิงคนแรก สตรีนางนี้ถวายการร่ายรำในพิธีคัดเลือกพระชายา ทำให้ผู้คนตกตะลึงในความงาม ได้รับการอวยยศให้เป็นท่านหญิง ต่อมาก็มีองค์ชายจากทั้งสามแคว้นแย่งชิงกันเป็นตัวเลือกในพิธีคัดเลือกพระสวามีของนาง เกียรติระดับนี้ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้รับมาก่อน พาให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง
หลังจากพิธีคัดเลือกพระชายา ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วท้องถนน ท่านหญิงทั้งสองที่ชื่อเสียงลือเลื่องระบือไกลไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่กลับมีใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ มองไปแวบแรกยากแยกแยะ บางคนก็ได้ยินจากญาติที่เป็นขุนนางอยู่ในวังว่าวิญญาณของหลีซูเข้าฝันซูหลี ขอให้นางรื้อคดีขึ้นมาใหม่ ปริศนาแปลกประหลาดเหล่านี้เมื่อรวมกันจึงยิ่งส่งผลให้คดีของหลีซูลึกลับขึ้นไปอีก
ชั่วขณะหนึ่ง ในถนนและตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ ผู้คนวิ่งแจ้นแจ้งข่าวสาร ยามพบหน้าก็ถกเถียงกันถึงเรื่องอันน่าเหลือเชื่อนี้อย่างออกรส ผ่านไปเพียงไม่นาน เรื่องดังกล่าวก็ถูกปรุงเสริมเติมแต่งจนเกิดเป็นเรื่องราวฉบับใหม่นับไม่ถ้วน ทุกคนต่างประหลาดใจและทึ่งในตัวขุนนางหญิงคนแรกแห่งแคว้นเฉิงกันถ้วนหน้า
กระทั่งถึงวันที่ซูหลีสวมชุดเครื่องแบบขุนนางหญิงขั้นหนึ่งแห่งแคว้นเฉิงที่มีเพียงหนึ่งเดียว และนั่งเกี้ยวขนาดใหญ่แปคคนหามที่ฮ่องเต้พระราชทานให้มาหยุดอยู่หน้าประตูจวนเซ๋อเจิ้งอ๋อง บรรยากาศในเมืองที่ถูกสั่งสมมานานพลันลุกฮืออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
รุ่งอรุณของวันนี้แสงอาทิตย์เจิดจ้าดั่งเปลวไฟ หน้าประตูจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมีผู้คนคับคั่ง นอกจากพื้นที่ที่ทหารยามเฝ้ารักษาไม่ให้คนนอกเดินผ่าน พื้นที่ว่างอื่นๆ ถูกชาวบ้านจำนวนมากรายล้อมจนแน่นขนัด ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อแย่งกันมุงดูขุนนางหญิงคนแรกในตำนาน บรรยากาศครึกครื้นไม่ด้อยไปกว่างานแต่งของท่านหญิงหมิงอวี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ได้ยินมานานแล้วว่าซูหลีมีหน้าตาคล้ายกับหลีซูโฉมสะคราญอันดับหนึ่ง แต่เหล่าชาวบ้านก็ยังถูกความงามและบุคลิกสูงส่งของนางทำให้ตกตะลึงจนตาค้าง
นางสวมชุดขุนนางสีดำ บนสาบเสื้อปักลวดลายนกเพลิงสีทองตัวหนึ่งที่กำลังสยายปีกกว้าง เมื่ออยู่ใต้แสงตะวัน ยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้าสะดุดตา แตกต่างจากชุดขุนนางชายในยุคเดียวกันอย่างสิ้นเชิง แสดงให้เห็นถึงฐานะอันแตกต่างของนางอย่างชัดเจน เส้นผมยาวสลวยถูกรวบสูงครอบไว้ด้วยรัดเกล้าสีทอง บนพวงแก้มข้างซ้ายอันขาวผ่อง ลวดลายนกเพลิงสีแดงดั่งโลหิตงดงามดึงดูด ยิ่งขับให้ผิวของนางขาวดุจหิมะ คิ้วงามดั่งภาพวาด ริมฝีปากแดงอิ่มดั่งชาด ดวงหน้างดงามและคมชัด
สองมือของซูหลียกประคองพระราชโองการ สายตาไม่วอกแวก ยืนอยู่หน้าเกี้ยว แหงนหน้ามองแผ่นป้ายที่สลักอักษรสีทองอร่ามซึ่งแขวนอยู่บนประตูใหญ่ของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน นางคิดในใจ ‘เสด็จแม่ ในที่สุดลูกก็กลับมายังจวนของเราได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้วเพคะ ในที่สุดลูกก็มีโอกาส…ล้างมลทินให้ตนเองแล้ว’
สาวเท้าขึ้นบันไดศิลาอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านหลิวที่ยืนรอหน้าประตูอยู่ก่อนแล้วพยายามควบคุมหัวใจที่สั่นระรัว ฝืนคลี่ยิ้ม และนำทางขุนนางหญิงบุคลิกโดดเด่นผู้นี้เข้าไปในจวนอย่างระมัดระวัง ตลอดทาง สาวรับใช้ในจวนต่างพากันปากอ้าตาค้างไม่เว้นแม้แต่คนเดียว พวกนางรีบค้อมกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม นึกย้อนไปถึงครั้งก่อนที่นางต้องปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ของตงฟางเจ๋อถึงจะสามารถเข้ามาในจวนนี้ได้ นางในยามนั้น ไม่ต่างจากอากาศธาตุที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล
บนโลกนี้มีทั้งยามหนาวเหน็บและอบอุ่น มนุษย์เรามีทั้งยามเย็นชาและมีน้ำใจ จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดในตัวตนจริงๆ ไม่ยึดอำนาจและตำแหน่งเป็นบรรทัดฐานในการคบหากัน?
ซูหลีก้าวเท้ารวดเร็วดั่งสายลม เดินตรงเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าของจวน เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนและคนในครอบครัวทราบข่าวแต่แรกแล้ว จึงรอรับพระราชโองการอยู่ด้านในห้องโถง คนในจวนสกุลหลีแม้ได้ยินข่าวลือมานานแล้ว แต่นอกจากหลีเหยา คนอื่นๆ ต่างก็ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อได้พบหน้าซูหลีเป็นครั้งแรก
กลุ่มคนถึงขั้นลืมความตั้งใจเดิมไปจนสิ้น ได้แต่ยืนมองซูหลีอย่างตะลึงงันอยู่อย่างนั้น
“เจ้า เจ้าเป็นบุตรีของซูเซียงหรูจริงหรือ?” จนถึงตอนนี้ หลีเฟิ่งเซียนก็ยังยากจะเชื่อ ใต้ฟ้าจะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ได้อย่างไร?!
พ่อลูกพบหน้า คล้ายเคยเกิดภาพเช่นนี้มาก่อน แม้สิ่งต่างๆ ยังคงเดิม แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง ความรู้สึกมากมายท่วมท้นในใจ แต่ก็ทำได้เพียงตอบเสียงเบา “เพคะ”
หลีเฟิ่งเซียนนัยน์ตาหม่นหมอง ซูหลีพยายามสงบใจไม่เอ่ยมากความ นางยืนอย่างมั่นคงกลางห้องโถง กางพระราชโองการสีทองดัง ‘พึ่บ’ แล้วกล่าวเสียงเข้ม “หลีเฟิ่งเซียนรับพระราชโองการ!”
เมื่อประกาศพระราชโองการ หลีเฟิ่งเซียนทำได้เพียงนำกลุ่มคนคุกเข่าลง
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระราชบัญชา บัดนี้หลีซู ธิดาแห่งเซ่อเจิ้งอ๋องได้รับความไม่เป็นธรรม…” ซูหลีพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่ป่วนพล่าน อ่านพระราชโองการทีละคำ เสียงดังฟังชัด น้ำเสียงสงบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึก คลื่นอารมณ์ที่กำลังซัดสาดถาโถมถูกซ่อนเอาไว้
พระราชโองการสั้นๆ ที่มีอักษรเพียงหนึ่งร้อยกว่าตัว ราวกับได้ทำให้ห่วงกุญแจอันหนักหน่วงที่พันธนาการหัวใจนางไว้คลายออกทันใด! เสียงของนางไม่ดัง แต่กลับชัดเจนทรงพลัง ชัดถ้อยชัดคำ ราวกับเสียงกลองใหญ่ดังกระทบหัวใจของทุกคน คล้ายกำลังประกาศให้โลกได้รับรู้ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ข่าวลือที่ไม่เป็นจริงในอดีตจะต้องถูกเปิดเผยในสักวัน คดีของหลีซูจะต้องได้รับความเป็นธรรมในที่สุด นางจะใช้ความจริงพิสูจน์ว่านางมิใช่สตรีที่ประพฤติตนเสื่อมเสียดังเช่นที่พวกเขาเล่าลือกัน!
ครั้นประกาศพระราชโองการเสร็จสิ้น หลีเฟิ่งเซียนค้อมศีรษะขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณก่อน หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเพื่อรับพระราชโองการ ทว่าขากลับอ่อนแรงเซถอยหลังไปหลายก้าว พระชายารองอวี้ที่อยู่ข้างหลังช่วยประคองไว้ พลางกล่าวถามอย่างกังวล “ท่านอ๋อง ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ?”
………………………………………………………………