กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 142 ขุนนางหญิงคนแรกแห่งแคว้นเฉิง (3)
ซูหลีพับเก็บพระราชโองการ ได้ยินดังนั้นก็พลันสะท้านใจ นางเพิ่งตระหนักได้ในยามนี้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนที่มักดูกระฉับกระเฉงและฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา เวลานี้กลับดูชราขึ้นมาก เส้นผมตรงขมับทั้งสองข้างคล้ายเริ่มมีผมหงอกแซมอยู่ประปราย ปลายคิ้วและหางตาลู่ลง สภาพดูอิดโรยและหดหู่
หลีเฟิ่งเซียนดันมือพระชายารองอวี้ออก แล้วค่อยๆ ก้าวไปยืนตรงหน้าซูหลี พวกนางทั้งสองไม่เพียงมีหน้าตาที่เหมือนกันมาก ลายมือก็ยังเหมือนกัน แม้แต่…น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาก็แทบจะเหมือนกันทุกประการ! รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้กระตุ้นความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมองเขาขึ้นมาทันที หลีซูชอบอ่านตำราตั้งแต่ยังเยาว์วัย เจ็ดแปดขวบก็อ่านผลงานชิ้นเอกของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงจนครบหมดทุกบทความ ภาพที่นางถือตำราอ่านบทความอย่างละเอียดคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“เจ้า… อ่านให้ข้าฟังอีกสักหลายประโยคได้หรือไม่” สายตาของเขาสับสนว้าวุ่น ทั้งประหลาดใจ ทั้งคำนึงหา ทั้งยังดูเหมือนมีแววคาดหวังปะปนอยู่ด้วยรางๆ
ซูหลีเบนสายตาหนี ถึงแม้ในพิธีคัดเลือกพระสวามี เสด็จพ่อจะบอกว่าเหตุผลที่ไม่เปิดเผยเรื่องที่นางไม่ได้ฆ่าตัวตายเป็นเพราะห่วงสุขภาพของเสด็จแม่ แต่หลังจากที่เสด็จแม่สิ้นใจ เหตุใดยังต้องฝังศพนางไว้ในสถานที่ห่างไกลกันดารเช่นนั้นอีก? นางอยากเอ่ยปากถามเหตุผลเหลือเกิน แต่กลับจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนไว้อย่างสุดชีวิต ไม่ว่าอย่างไรเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้ ก็คือคลี่คลายคดีให้สำเร็จภายในเวลาสามเดือน!
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ จัดการเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “ท่านอ๋องเพคะ บุตรสาวของท่านตายไปแล้วจริงๆ นางตายอย่างไม่เป็นธรรม และดวงวิญญาณของนางก็ยังไม่เป็นสุข ยามนี้หม่อมฉันต้องสืบหาตัวคนร้ายตัวจริงเพื่อนางเพคะ!” กล่าวไป สองมือก็ค่อยๆ ประคองพระราชโองการขึ้นช้าๆ
วาจานี้เปรียบดังท่อนไม้ที่ฟาดลงมาอย่างแรง ความคาดหวังทั้งหมดในใจเขาพลันมลายหายไปในพริบตา หลีเฟิ่งเซียนสีหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทามารับพระราชโองการไป เขากำม้วนพระราชโองการแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี เอ่ยเสียงปนสะอื้นเบาๆ “ซีจิน…ข้า ทำผิดต่อเจ้ายิ่งนัก”
ครั้นได้ยินชื่อของเสด็จแม่ ซูหลีเจ็บปวดใจดั่งมีดเสียดแทง ทว่ากลับเอ่ยปลอบเสียงสงบนิ่ง “คนตายมิอาจฟื้นคืน ท่านอ๋องรักษาสุขภาพให้ดีเถิดเพคะ หากอยากให้ดวงวิญญาณของพระชายาสงบสุข สืบหาคนร้ายตัวจริงให้เจอในเร็ววันจะดีที่สุดนะเพคะ!”
หลีเฟิ่งเซียนชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวอย่างโศกเศร้า “หากสืบได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น ข้าจะรอจนถึงป่านนี้หรือ?!”
ซูหลีอึ้งงัน “ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรเพคะ?” หรือว่าเสด็จพ่อสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ แต่กลับไร้ผลมาโดยตลอด?
หลีเฟิ่งเซียนส่ายหน้า ไม่เอ่ยคำใดอีก
ซูหลีทำได้เพียงปกปิดคำถามในใจ ถอนใจกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันทำตามพระราชโองการ หากกระทำการใดไม่เหมาะสม หวังว่าท่านอ๋องจะเข้าใจและให้อภัยหม่อมฉัน!” เอ่ยจบก็ถอยหลังค้อมกายถวายบังคมอย่างอ่อนน้อม จากนั้นก็ตะโกนสั่งเสียงดังฟังชัด “นำทางข้าไปยังเรือนที่พักของท่านหญิงหมิงอวี้ยามยังมีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้ต่อต้าน ทำให้พ่อบ้านหลิวที่รออยู่นอกห้องพลันสะท้านวาบไปทั้งใจอีกครั้ง เขานำทางด้วยท่าทีอ่อนน้อมพลางคิดในใจ ขุนนางหญิงคนแรกแห่งแคว้นเฉิงผู้นี้ไม่เพียงมีหน้าตาเหมือนคุณหนูใหญ่ แม้แต่การพูดการจาและกิริยาท่าทางก็เหมือนกันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน!
เรือนของหลีซูตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจวน เนื่องจากนางชอบความสงบ ฉะนั้นยามยังมีชีวิตอยู่นางจึงไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนหลัก หลีเฟิ่งเซียนเลยแยกพื้นที่แปลงหนึ่งออกมา จากนั้นก็เชิญผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบและสร้างเรือนขนาดเล็กนี้ให้นางเป็นพิเศษ
ทิวทัศน์อันงดงามในอดีตที่เปรียบได้กับสวนในพระราชวัง ยังคงสวยงามเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าชะตากรรมของผู้เป็นเจ้าของเรือนกลับพลิกผันไปมาไม่รู้กี่หนแล้ว
หัวใจซูหลีบีบรัดแน่น อดไม่ได้ที่จะสาวเท้าเร็วขึ้น ประตูใหญ่สีแดงชาดปิดสนิด ผิวประตูหลุดลอกเป็นแผ่นๆ ไม่สดใสสวยงามเหมือนในวันแต่งงานของนาง นางยื่นมือออกไปผลักเบาๆ ประตูบานนั้นส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’ และเปิดออก
ม่านหมอกชั้นหนึ่งพลันแผ่ปกคลุมดวงตานาง ภาพที่นางเคยเฝ้าฝันถึงเป็นร้อยครั้งในยามหลับ ในที่สุดก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
นี่คือสถานที่ที่นางเกิดและเติบโตมา ถึงแม้ปิดตาทั้งสองข้าง นางก็ยังสามารถบอกถึงรายละเอียดทุกอย่างในเรือนแห่งนี้ได้ บนพื้นมีชั้นใบไม้หนาๆ กองทับกันอยู่ ครั้นก้าวเท้าลงไปก็เกิดเสียงดังสวบสาบ ฝูงปลาหลากสีที่เคยอยู่ในบ่อน้ำยามนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย กระดานหมากล้อมที่ยังไม่จบเกมใต้ต้นหลียังคงอยู่ ราวกับกำลังรอให้ผู้เป็นเจ้าของเรือนกลับมาเดินหมากต่อให้จบ…
ซูหลียืนอยู่ในสวนเพียงลำพัง เรื่องในอดีตประดังเข้ามาในใจ เต็มไปด้วยความรู้สึกอันเปรี้ยวฝาดยากอธิบาย
“พี่สาวซู”
เสียงขานเรียกแผ่วเบาดังมาจากนอกประตู
ซูหลีรีบสะกดกลั้นอารมณ์เศร้าโศก ค่อยๆ หมุนกายหันไปแย้มยิ้มบางๆ “เหยาเอ๋อร์”
หลีเหยาเดินเข้ามา หมายจะย่อกายทำความเคารพซูหลี แต่ซูหลีรีบก้าวเข้าไปประคองนาง กล่าวว่า “เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องโถงด้านหน้าไม่มีโอกาสพูดคุย ครั้นเห็นซูหลีมาที่เรือนหลัง หลีเหยาจึงรีบตามมา
มือของนางเย็นชืด ขอบตาแดงรื้น จับมือซูหลีแน่น กล่าวเสียงสั่น “พี่สาวซู ท่านบอกข้าที พี่สาวข้ามาเข้าฝันท่านให้ช่วยนางล้างมลทินจริงหรือ?”
ซูหลีรู้ว่าหลีเหยากับหลีซูมีสายสัมพันธ์พี่น้องอันแน่นแฟ้น ตลอดมาหลีเหยาเชื่อว่าหลีซูถูกคนให้ร้าย ยามได้ยินว่าวิญญาณพยาบาทของหลีซูมาเข้าฝันซูหลี จึงรีบตามมาถามอย่างร้อนใจ ถึงแม้น้องสาวผู้นี้จะจริงใจกับนางมาก แต่ซูหลีกลับไม่อาจบอกความจริงกับนางทุกเรื่อง เรื่องที่ยากจะทำใจให้เชื่อกว่าวิญญาณเข้าฝัน ก็คือเรื่องจริงที่ว่าวิญญาณของหลีซูกลับมาเข้าร่างของซูหลี
ซูหลีฝืนเก็บซ่อนเรื่องราวในใจ เพียงตบมือหลีเหยาเบาๆ พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว ท่านหญิงหมิงอวี้บอกข้าว่าที่ข้ากับนางมีหน้าตาเหมือนกันเป็นเจตจำนงของสวรรค์ และเพราะเหตุผลนี้ นางจึงมาเข้าฝันข้า บอกให้ข้ารื้อคดีใหม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางถูกคนให้ร้ายและฆาตกรรม?”
“แต่ว่า ก่อนหน้านี้เราพบหน้ากันหลายครั้ง เหตุใดไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยเล่า? หรือว่าไม่เชื่อใจเหยาเอ๋อร์?” หลีเหยากล่าวอย่างปวดใจ
“เด็กดี ไม่ใช่พี่สาวซูไม่เชื่อใจเจ้า แต่เป็นเพราะ…เรื่องนี้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ” เห็นนางน้ำตาคลอเบ้า ซูหลีรีบเอ่ยปลอบโยน “ตอนแรกข้าก็ตกใจมากเช่นกัน ต่อมาเมื่อคุณหนูหลีมาปรากฏตัว และเล่าเรื่องที่นางถูกใส่ร้ายอย่างละเอียดในความฝันข้าทุกค่ำคืนติดต่อกันหลายคืนเข้า ข้าจึงเริ่มเชื่อ”
“พี่สาวข้าเป็นคนเด็ดเดี่ยวและมีจิตใจงาม ไม่ว่าเรื่องใดมักคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ นางต้องได้รับความอยุติธรรมใหญ่หลวงมากแน่ๆ มิเช่นนั้นนางไม่มีทางขอความช่วยเหลือด้วยวิธีที่น่าตกใจถึงเพียงนี้! เพียงแต่ เพราะเหตุใดนางจึงไม่มาหาหลีเหยาเล่า? นางต้องนึกโทษหลีเหยาที่ไม่ได้ร้องขอความเป็นธรรมให้นางเป็นแน่!” สายตาของหลีเหยาสะท้อนแววเจ็บปวดและโทษตนเอง นางไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป ปล่อยเสียงร้องไห้โฮทันที
ซูหลีเห็นนางโทษตนเอง พลันรู้สึกแสบร้อนที่จมูก รีบดึงนางเข้ามากอด ลูบแผ่นหลังนางขึ้นลง พลางกล่าวปลอบเสียงเบา “เหยาเอ๋อร์อย่าโทษตนเอง ความจริงใจที่เจ้ามีต่อพี่สาว นางล้วนรับรู้”
หลีเหยาพลันเงยหน้า ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตามองมาคล้ายตั้งคำถาม
“ข้าพูดจริง ท่านหญิงหมิงอวี้ไม่ได้เล่าเรื่องที่นางถูกใส่ร้ายให้ข้าฟังเพียงอย่างเดียว มิตรภาพยามยังมีชีวิตอยู่ของเจ้าสองพี่น้อง นางก็เคยเล่าให้ข้าฟังเช่นกัน วิญญาณหลังความตายสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจมองเห็น ผู้ใดดีกับนาง นางล้วนรับรู้ได้อย่างถ่องแท้”
หลีเหยาครุ่นคิด แล้วกล่าวขึ้นทันใด “เช่นนั้น หากพี่สาวไปหาท่านอีก ท่านต้องบอกนางว่าหากมีเวลาให้มาเยี่ยมเหยาเอ๋อร์บ้าง เหยาเอ๋อร์คิดถึงนางมากจริงๆ”
ซูหลีพยักหน้า ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง ในใจพลางคิดว่าเด็กโง่คนนี้ คนอื่นได้ยินเรื่องผียังวิ่งหนีแทบไม่ทัน ใครเล่าจะเหมือนนาง กลับขอร้องให้มาพบหน้าด้วยท่าทางร้อนใจเช่นนี้
หลีเหยาพลันตระหนักได้ว่าตนเองเสียกิริยา จึงผละออกจากอ้อมกอดของซูหลีอย่างเหนียมอาย กล่าวอย่างเป็นห่วง “พี่สาวซู เช่นนั้นยามนี้ท่านเจอเบาะแสอะไรเกี่ยวกับคดีของพี่สาวข้าแล้วหรือไม่?”
………………………………………………..