กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 143 ขุนนางหญิงคนแรกแห่งแคว้นเฉิง (4)
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ กวาดตาสังเกตรอบกายช้าๆ “ตอนนี้คงทำได้เพียงปิดล้อมเรือนแห่งนี้ไว้ และขนย้ายสิ่งของที่ท่านหญิงเคยจับต้องในวันแต่งงานทั้งหมดกลับไปก่อน แล้วค่อยๆ ตรวจสอบเบาะแส เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ คาดว่าคงจะตรวจสอบยากทีเดียว”
“สิ่งของที่พี่สาวเคยจับต้องในวันแต่งงาน…อา เช่นนั้นแป้งชาดที่ข้าเคยมอบให้พี่สาว ก็อยู่กับพี่สาวซูนี่นา!” หลีเหยาคล้ายเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้อีก นางตะโกนเสียงหลง “ใช่แล้ว ยังมีปิ่นปักผมอันนั้นอีก!”
ซูหลีสะท้านวาบไปทั้งใจ ใช่แล้ว ปิ่นปักผม! ก่อนหน้านี้นางได้ตรวจสอบตามลำดับ และพบว่าสิ่งของที่นางไม่อาจพิสูจน์ได้ ก็คือศิลาเลือดนกเพลิง กับแป้งชาดและปิ่นปักผมของหลีเหยา แป้งชาดตลับนั้นหลีเหยาได้มอบให้นางตั้งแต่ไปเซ่นไหว้ศพเสด็จแม่ในครั้งก่อนแล้ว และมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ความคิดพลันแล่นผ่าน นางกล่าวเสียงเบา “ปิ่นปักผมอะไร?”
หลีเหยาจ้องหน้านาง ถามอย่างประหลาดใจ “พี่สาวไม่ได้บอกท่านหรือเจ้าคะ?”
ซูหลีส่ายหน้า
หลีเหยาอธิบาย “วันนั้นที่พี่สาวแต่งงาน ข้ามอบแป้งชาดตลับนั้นให้นาง ยามนั้นได้ใช้ปิ่นปักผมของข้าจิ้มแป้งชาดส่วนหนึ่งมาทาบนหน้านาง หากว่ากันตามหลัก นี่ก็น่าจะนับเป็นสิ่งของที่พี่สาวเคยจับต้องในวันนั้นด้วยมิใช่หรือเจ้าคะ?”
ซูหลีครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวแนะนำ “เป็นดังเจ้าว่า เพื่อสืบหาเบาะแส อย่างไรเหยาเอ๋อร์นำมาส่งมอบเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานก่อนดีที่สุด”
หลีเหยาพยักหน้าเอ่ยว่า “อื้ม ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อการสืบคดีของพี่สาวซู เหยาเอ๋อร์จะต้องช่วยเหลือเต็มกำลังแน่นอนเจ้าค่ะ!
ซูหลีอยากห้ามนาง แต่กลับไม่พูดออกไป ในใจคิดว่าถึงปิ่นปักผมอันนั้นจะมีเงื่อนงำ แต่เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ ฤทธิ์ยาคงหมดไปนานแล้ว ทว่าคิดดูอีกทีการที่หลีเหยามีความคิดเช่นนี้ ก็สมกับที่พวกนางเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันแล้ว ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ห้ามหลีเหยา ซูหลีก้าวเท้าออกจากเรือนหลังเล็กช้าๆ หันกลับไปมองครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเข้ม “ปิดล้อมเรือนแห่งนี้เสีย ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไม่ว่าผู้ใดห้ามเข้าออกเป็นการส่วนตัว ทันทีที่พบตัวจะต้องถูกส่งตัวไปที่สำนักหลวง และลงโทษตามกฎ”
มีคนรับคำ แล้วเข้ามาปิดประตูเรือนทันที แถบปิดผนึกสีแดงชาดพลันแยกเรือนขนาดเล็กแห่งนี้ให้กลายเป็นเขตหวงห้ามทันที
ตรงทางเลี้ยวของเรือน เงาร่างบอบบางสายหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง ผลุบๆ โผล่ๆ ชะโงกหน้าออกมามอง ครั้นซูหลีหมุนกาย นึกไม่ถึงว่าเมื่อคนผู้นั้นเห็นหน้านางชัดเจน ก็พุ่งตัวเข้าใส่นางโดยเร็ว
“ผู้ใดบังอาจเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าวิ่งชนใต้เท้า!” ผู้ติดตามเบิกตากว้าง เอื้อมมือดึงตัวไว้
“หยุดก่อน!” ซูหลีรีบตะโกนสั่ง นางจำได้ทันที คนผู้นี้ก็คืออดีตสาวรับใช้ของนาง เหลียนเอ๋อร์!
เด็กสาวเมื่อถูกผู้ติดตามรั้งตัว เท้าก็พลันลื่นไถลล้มลงกับพื้น ปากกลับยังคงร่ำร้องไม่ขาดสาย “คุณหนูของข้าถูกใส่ความ! ขอร้องใต้เท้าช่วยคืนความเป็นธรรมให้นางด้วย! คุณหนูของข้า…” ยังพูดไม่ทันจบ น้ำเสียงพลันขาดหาย ก่อนเป็นลมหมดสติไป
ซูหลีทั้งตกตะลึงและปวดใจ เหลียนเอ๋อร์ติดตามรับใช้นางมาตั้งแต่ยังเล็ก นางเป็นเด็กที่น่ารักเฉลียวฉลาด และรู้จักเอาใจใส่ เพียงแต่เด็กที่เคยสดใสน่ารักอย่างนั้น เหตุใดจึงได้มีสภาพเป็นเช่นนี้ไปได้? นางซูบผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก ใบหน้าหมองคล้ำและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ในจวนมีผู้ใดรังแกนางอย่างนั้นหรือ?
ซูหลีก้าวเข้าไปประคองร่างนางขึ้น ขานเรียกหลายครั้ง “เจ้าเป็นอะไรไป? ฟื้นเร็ว”
หลีเหยาย้อนกลับมาพอดี เมื่อเห็นเหลียนเอ๋อร์ สีหน้าพลันเปลี่ยน “พี่สาวซู อย่าโทษนางเลยเจ้าค่ะ นางเคยเป็นสาวรับใช้คนสนิทของพี่สาวข้า หลังจากที่พี่สาวข้าตาย นางไม่ระวังตัวทำความผิด ถูกลงโทษให้ไปอยู่ฝ่ายใช้แรงงาน วันนี้ที่นางหนีออกมา คงเพราะได้ยินข่าวลือเรื่องที่พี่สาวซูมีหน้าตาเหมือนกับพี่สาวข้า ใจจึงคะนึงหา เฮ้อ เด็กคนนี้ก็เป็นคนจริงใจคนหนึ่งเช่นกัน”
“นางทำผิดอันใดหรือ? ถูกผู้ใดไล่ให้ไปอยู่ฝ่ายใช้แรงงาน?” ซูหลีเอ่ยถามทีละประโยค ด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
หลีเหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเบา “ช่วงที่พี่สาวเพิ่งจากไป นางไปร้องขอความเป็นธรรมต่อเสด็จพ่อทุกวัน บอกว่าพี่สาวถูกคนใส่ร้ายจนตาย ตอนแรกเสด็จพ่อเห็นแก่ที่นางเคยรับใช้พี่สาว จึงไม่ได้เอาผิด ต่อมานางไม่ยอมหยุดกลับยิ่งอาการหนักขึ้นทุกวัน ด้วยความโมโห จึงไล่นางไปอยู่ฝ่ายใช้แรงงาน หลังจากพี่สาวและพระชายาจากไป นางไร้ที่พึ่งพิง เหล่าบ่าวรับใช้เลยแอบกลั่นแกล้งนางลับหลัง ข้าเห็นว่านางน่าสงสาร คิดจะไปขอความเมตตาจากเสด็จพ่อ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสเสียที”
คำบอกเล่าของหลีเหยาเป็นเหมือนดั่งเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจซูหลี นางเจ็บปวดจนเอ่ยวาจาใดไม่ออก ลอบกัดฟันกรอด นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าแม้แต่สาวรับใช้ข้างกายนางก็ยังเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ไปด้วย! เหลียนเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดนางน่าเวทนายิ่งนัก แทบจะไร้พลังชีวิต และการที่หลีเฟิ่งเซียนมองข้ามทุกอย่าง ก็ทำให้หัวใจนางเย็นเยียบไปจนถึงกระดูก!
นางรีบล้วงขวดยาออกมาจากอกเสื้อ แกว่งไปมาตรงจมูกเหลียนเอ๋อร์เบาๆ เด็กสาวพลันกระแอมไอทันที นางค่อยๆ ลืมตา สายตาเลื่อนลอยจดจ้องใบหน้าซูหลีนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“คุณ คุณหนู?!” อ้อมอกของซูหลีอบอุ่นถึงเพียงนี้ นางจ้องหน้าซูหลีอย่างไม่อยากเชื่อ สายตาเต็มไปด้วยความยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะร้องไห้เสียงดัง “คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็ยอมกลับมาหาเหลียนเอ๋อร์แล้วหรือเจ้าคะ? ความอยุติธรรมที่ท่านได้รับ เหลียนเอ๋อร์ล้วนจำได้ เหลียนเอ๋อร์ทำได้เพียงมองดูคุณหนูถูกคนรังแก ทว่ากลับไม่อาจปกป้องท่านได้ เป็นความผิดของเหลียนเอ๋อร์เอง เหลียนเอ๋อร์ผิดต่อคุณหนูยิ่งนัก!” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ละล่ำละลักพูดไม่เป็นประโยค คล้ายสติเลอะเลือนไปนานแล้ว
“เด็กคนนี้กับพี่สาวมีสายสัมพันธ์อันดี นางเอาแต่คิดว่าตนเองปกป้องเจ้านายได้ไม่ดี จึงทำให้…เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับพี่สาว ตอนแรกนางก็ยังปกติดี สติไม่เลอะเลือน นึกไม่ถึงเมื่อนานไป กลับเริ่มพูดจาเลอะเลือน” เหลียนเอ๋อร์ตรอมใจถึงขั้นนี้ หลีเหยาเห็นแล้วก็เจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา อธิบายให้ซูหลีฟังด้วยเสียงแผ่วเบา
พูดจาเลอะเลือน? คนที่ปกติดีคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ไปได้! คงเป็นเพราะเหลียนเอ๋อร์เอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือไปทั่ว ทำให้เหล่าบ่าวรับใช้ที่แล่นเรือไปตามทางลมเห็นแล้วขวางหูขวางตา จึงเริ่มกลั่นแกล้งนางอย่างจงใจ จนทำให้นางอยู่ในสภาพเช่นนี้ในที่สุด! เหตุใดเมื่อก่อนนางไม่เคยรู้สึกเลยว่าในจวนมีด้านมืดเช่นนี้อยู่ด้วย?! หากเหลียนเอ๋อร์ยังอยู่ในจวนนี้ต่อ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นางซื่อสัตย์กับนายตนเองถึงเพียงนี้ ซูหลีไม่อาจนิ่งดูดายเด็ดขาด!
ซูหลีข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจ พยายามปรับอารมณ์ให้มั่นคง ก่อนจะตะโกนสั่งเสียงดัง “ทหาร! คนผู้นี้คือหนึ่งในพยานคนสำคัญของคดีนี้ พานางกลับไปที่จวน จัดแจงที่พักให้ดี อย่าได้รอช้า!”
“ขอรับ!” ผู้ติดตามสองคนรีบค้อมกายรับคำ และเข้ามาประคองเหลียนเอ๋อร์ขึ้น
เหลียนเอ๋อร์กลับอาละวาดขึ้นมาทันที นางร่ำไห้และตะโกนโหวกเหวกโวยวาย “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป! ข้ายังทวงคืนความเป็นธรรมให้คุณหนูไม่สำเร็จ!” นางขัดขืนสุดชีวิต เรี่ยวแรงมหาศาลจนน่าตกใจ ผู้ติดตามสองคนนั้นจนใจ แต่ก็ไม่กล้าบังคับลากนางออกไป ทำได้เพียงปล่อยมือ
เหลียนเอ๋อร์ลุกขึ้นจากพื้นกระโจนเข้าไปหาหลีเหยา แล้วอ้อนวอนอย่างลนลาน “คุณหนูรองเจ้าคะ! ท่านใจดีที่สุดแล้ว! ท่านช่วยบอกพวกเขาที อย่าพาข้าไป! เหลียนเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง!”
หลีเหยารีบปลอบโยนนาง เกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน “เหลียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าตระหนกไป เจ้าดูสิ พี่สาวก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วมิใช่หรือ!” พูดไป นางก็แอบส่งสายตาให้ซูหลี
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ พยายามพูดกับเหลียนเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอันคุ้นหู “เหลียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าเชื่อฟัง ยามนี้ข้ากลับมาแล้ว เจ้ากลับไม่ฟังแม้แต่คำพูดของข้าแล้วงั้นหรือ?”
เหลียนเอ๋อร์อึ้งงัน น้ำตาเอ่อล้น มองซูหลีอย่างแตกตื่นลนลาน คล้ายกลัวว่าคุณหนูจะทอดทิ้งและไม่ไยดีนางอีก
หลีเหยากล่าวอย่างเป็นห่วง “พี่สาวซู สภาพนางอย่างนี้ หากออกจากจวนไป เกรงว่ามีแต่จะเพิ่มภาระให้ท่านกระมัง? คดีของพี่สาวก็มิอาจยืดเยื้อออกไป มิสู้…ให้นางอยู่ที่จวนต่อไป ข้าจะไปขอร้องเสด็จพ่อ พานางมาดูแลข้างกายเอง ท่านเห็นว่าเป็นเช่นไรเจ้าคะ?”
………………………………………………..