กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 144 ความทรงจำการตายอันน่าสะพรึงกลัว (1)
ซูหลีใคร่ครวญนิ่งๆ แล้วส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าเป็นถึงบุตรีจวนอ๋อง จะให้เฝ้าสาวรับใช้คนหนึ่งอยู่ตลอดก็คงดูไม่งาม หากเจ้าไม่อยู่ แล้วมีคนฉวยโอกาสกระตุ้นนาง อาการป่วยรังแต่จะแย่ลง ข้าพานางไปจะจัดการดูแลได้ง่ายกว่า นางจะได้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ไม่แน่อาจมีประโยชน์ต่อคดีของพี่สาวเจ้าก็เป็นได้”
หลีเหยาไตร่ตรองดู ก็รู้สึกว่าซูหลีพูดมีเหตุผล จึงพยักหน้า ไม่เอ่ยมากความอีก
ซูหลีหมุนกายหันไปกล่าวกับเหลียนเอ๋อร์ด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหลียนเอ๋อร์ ฟังคำข้าเถิด เจ้าไปกับพี่ชายสองท่านนี้ก่อน รอให้ข้าจัดการธุระเสร็จจะรีบไปหาเจ้า ดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนดังวันวาน เหลียนเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเช่นนี้? ความกังวลลนลานทั้งปวงพลันมลายหายไปจนสิ้น เหลียนเอ๋อร์จับมือซูหลีอย่างอาลัยอาวรณ์ “เหลียนเอ๋อร์จะเชื่อฟังคุณหนูเจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์จะรอคุณหนูมาหานะเจ้าคะ”
ซูหลีปลอบนางอีกหลายประโยค ครั้นเห็นอารมณ์นางมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว จึงหันไปส่งสายตาให้ผู้ติดตาม ผู้ติดตามทั้งสองจึงเดินคุ้มกันเหลียนเอ๋อร์ออกไปอย่างระมัดระวัง
มองดูแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ของเหลียนเอ๋อร์ หลีเหยาถอนหายใจ มองหน้ากันกับซูหลีโดยไม่พูดอะไร ในใจหนักอึ้งสุดแสน ผ่านไปครู่หนึ่ง หลีเหยานำปิ่นปักผมมาส่งมอบให้ซูหลี ซูหลีมองดู เป็นปิ่นปักผมที่นางเคยใช้ในวันแต่งงานจริงๆ ทำจากเงินแท้ ไม่ได้สลักลวดลายซับซ้อนมากมาย เป็นเพียงปิ่นปักผมธรรมดา ทั้งสองสนทนากันอีกหลายประโยค แล้วสองพี่น้องก็บอกลากันแต่เพียงเท่านั้น
แสงแดดในช่วงบ่ายแผดเผาเร่าร้อน กลุ่มคนที่รายล้อมกันอยู่หน้าประตูจวนเซ่อเจิ้งอ๋องแยกย้ายกันไปนานแล้ว ซูหลีค่อยๆ ขึ้นเกี้ยว รู้สึกเพียงหัวใจเย็นเยียบ นางกำปิ่นปักผมของหลีเหยาเอาไว้แน่น ครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย
ปิ่นปักผมอันนี้สุดแสนจะธรรมดาจนไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ไม่รู้ทำไม เพราะความธรรมดาของมัน กลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ นางรู้ดีว่าการกลับมาสืบหาเบาะแสที่จวนในครั้งนี้ไม่น่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติมอยู่แล้ว แต่ก็จำเป็นต้องกลับมาตรวจสอบดูสักครั้ง เพราะเบาะแสที่สามารถสืบหาได้ในตอนนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทุกอย่างเป็นเหมือนปมปริศนา ทำให้ผู้คนสับสนเดาทางไม่ถูก ไม่รู้ควรเริ่มจากที่ใดก่อน
ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย นางเปลี่ยนความตั้งใจกะทันหัน พลันคิดอยากไปสำรวจริมฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นสถานที่ที่หลีซูถูกสังหาร นางกำชับคนหามเกี้ยวให้มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำหลานชางนอกเมือง
ยิ่งเข้าใกล้แม่น้ำหลานชาง หัวใจของซูหลีก็ยิ่งหนักอึ้ง นางเอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้นและมองออกไป ทิวทัศน์ริมแม่น้ำงดงามดั่งภาพวาดเฉกเช่นวันวาน นางลงจากเกี้ยว แล้วสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ที่นี่ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเลาะไปตามริมฝั่งน้ำเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เคยเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้นในอดีต
ซูหลียืนอยู่ในป่า ค่อยๆ กวาดตามองรอบทิศ ท่ามกลางกิ่งไม้แน่นขนัด สายลมพัดผ่านเบาๆ ใบไม้เสียดสีกันดังสวบสาบ นกน้อยส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้ ทุกอย่างดูช่างเงียบสงบและสงบสุขถึงเพียงนี้
ใครเล่าจะคาดคิดว่าใต้ผืนฟ้าอันสงบสุขเช่นนี้ กลับเคยเกิดการสังหารนองเลือดอันโหดร้ายขึ้น? ซูหลีหลับตา ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดท่วมท้นในใจ นางบอกกับตนเองในใจว่าโอกาสในการรื้อคดีใหม่ได้มาไม่ง่าย ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะยากลำบากเพียงใด นางก็จะเข้มแข็งและเดินต่อไป!
น้ำสีเหลืองขุ่นในแม่น้ำกระเพื่อมไหวและป่วนพล่าน ไม่รู้ว่าซ่อนความลับเอาไว้มากมายเพียงใด
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด กลิ่นอายอันคุ้นเคยค่อยๆ ใกล้เข้ามา ซูหลีพลันลืมตาขึ้น ห่างออกไปไม่ไกล ต้นหลิวสีเขียวริมฝั่งน้ำพลิ้วไหวเบาๆ ตงฟางเจ๋อสวมอารภรณ์ผ้าต่วนสายคาดเอวหยก สง่างามบีบคั้นผู้คน ยืนจ้องหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่ใต้ต้นไม้
“ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?” นางรีบข่มกลั้นอารมณ์อันสับสนในใจ คลี่ยิ้มบางและเอ่ยถาม
ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาช้าๆ พยักหน้าบอกว่า “ข้าเสร็จธุระก็ไปหาเจ้า พวกเขาบอกว่าเจ้ายังไม่กลับไป จึงมาดูว่าเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่”
ซูหลีแย้มยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด นางรู้ว่าหากไม่มั่นใจ เขาคงไม่มาหานางที่นี่ ในพิธีคัดเลือกพระสวามี สิ่งที่นางทำลงไป ยังไม่รู้ว่าเขาจะคิดเช่นไร
“เมื่อก่อนข้าคิดว่าซูซูเป็นคนใจกล้า แต่หลังพิธีคัดเลือกพระสวามี ข้าจึงเพิ่งค้นพบ เจ้าไม่ใช่แค่ใจกล้าธรรมดา แต่ใจกล้าเหนือผู้ใดในใต้หล้า!” คล้ายเป็นวาจาหยอกเย้า เขาเดินไปหยุดตรงหน้านาง แล้วมองหน้านางนิ่งๆ น้ำเสียงทุ้มลึกแฝงแววชื่นชมสองส่วน ฟังไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใด
ซูหลีหลุบตาต่ำ ได้ยินเพียงเขากล่าวว่า “ต่อหน้าโอรสสวรรค์ กล้าวางยาองค์ชายและทูต พิสูจน์ความอยุติธรรมให้ดวงวิญญาณที่ตายไปแล้วด้วยเรื่องเหนือความคาดหมาย สุดท้ายกลับสามารถเอาตัวรอดมาได้โดยไม่ต้องรับโทษใด ซ้ำยังได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางหญิงขั้นหนึ่งอีกต่างหาก!” เขาชะงักไปเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าใต้ฟ้านี้ คงมีเพียงซูซูเท่านั้นที่ทำได้!”
ซูหลีตอบ “ท่านอ๋องกล่าวหนักเกินไปแล้ว! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบารมีของท่านอ๋องกับท่านทูตทั้งสอง แล้วยังมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของฝ่าบาทอีกด้วยเพคะ! หากมิใช่เช่นนั้น ซูหลีตายไปหมื่นครั้งก็เกรงว่ายังไม่อาจหลุดพ้นความผิด!”
นี่คือความจริง เพื่อรื้อคดี นางกล้าที่จะหลอกใช้พวกเขาสี่คน ก่อนนั้นนางเองก็เคยชั่งน้ำหนักมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะไม่ถือโทษโกรธนาง
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาของเขาที่มองมาทั้งลึกล้ำและเปล่งประกาย สะท้อนให้เห็นความชื่นชมอย่างไม่อาจปกปิด นางพลันอึ้งงัน
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ดวงวิญญาณเข้าฝัน นึกไม่ถึงว่าในโลกยังมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย!” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนไม่เชื่อ
ซูหลีสายตาไหวระริก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากมิได้ประสบกับตนเอง หม่อมฉันก็ไม่กล้าเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเหมือนกันเพคะ”
นางถอนหายใจเบาๆ หว่างคิ้วงามมนมีแววเหน็ดเหนื่อยปรากฏให้เห็นอย่างปิดไม่มิด ตงฟางเจ๋ออดใจอ่อนไม่ได้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน กล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “การสืบสวนคดีนั้นลำบากมาก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็อย่าฝืนตนเองเกินไป ต้องดูแลสุขภาพตนเองให้มาก”
ยังไม่ทันเข้าฤดูใบไม้ร่วง ดวงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า เขาเอ่ยวาจาไปพลาง จูงมือนางไปยังริมฝั่งน้ำอันเย็นสบายไปพลาง
ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ฝ่ามือกุมแน่น การกระทำเป็นธรรมชาติ นางเองก็ไม่ขัดขืน คล้ายคุ้นเคยกับความใกล้ชิดของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้ต้นหลิว หันหน้าไปทางผิวน้ำที่ต้องแสงแดดระยิบระยับ ตงฟางเจ๋อถาม “วันนี้สืบได้ความอะไรจากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่?”
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ สายตาสะท้อนความกังวล กล่าวเสียงเรียบ “ไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์เลยเพคะ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เกรงว่าคงจะสืบหาในเวลาอันสั้นได้ยาก”
“เป็นเรื่องยากจริงๆ” ตงฟางเจ๋อพยักหน้ากล่าวเสริม เขาถอนหายใจกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจ “ในเมื่อท่านหญิงมาเข้าฝันเจ้า ให้เจ้าช่วยสืบหาคนร้ายตัวจริง เช่นนั้นนางได้เล่าเรื่องราวระหว่างที่ถูกทำร้ายให้เจ้าฟังหรือไม่?”
เรื่องผีสางเทวดาเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ วาจาของนางบนหออวิ๋นเยียน เขาย่อมไม่เชื่อ แต่นอกจากเหตุผลที่คล้ายจะสมเหตุสมผลนี้ ความรู้สึกรับผิดชอบที่ซูหลีมีต่อคดีของหลีซูนั้นมากกว่าคนปกติทั่วไป จุดนี้ทำให้เขาสงสัยมาโดยตลอด สตรีตรงหน้าเป็นเหมือนปมปริศนา แม้เขาจะมีความคิดรอบคอบ อ่านใจผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง ก็ยังไม่อาจมองนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ความเจ็บปวดพลันฉายชัดบนใบหน้าซูหลี นางไม่ได้เอ่ยคำใด
ตงฟางเจ๋อจ้องนางเขม็ง กล่าวต่อว่า “ข้าเคยประมือกับนางในคืนที่ถูกไล่ล่าสังหาร วรยุทธ์ของนางแม้ไม่ถือว่าล้ำเลิศ แต่ก็ไม่น่าจะถูกคนทำร้ายจน…มีสภาพน่าอนาถขนาดนั้น” เขาสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางอย่างละเอียด น้ำเสียงเฉียบขาด แฝงแววค้นหาความจริง ในใจยังมีอีกเสียงดังขึ้นพร้อมกัน สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดคือเจ้าเป็นใครกันแน่?
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ค่อยๆ เงยหน้าสบสายตาสงสัยของเขา ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “นางไม่ใช่ไม่อยากสู้ แต่นางไม่มีกำลังจะสู้เพคะ ผู้ที่วางแผนทำร้ายนาง ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของนาง ยังวางแผนทำให้พิษในร่างนางกำเริบก่อนเวลาอีกด้วย”
…………………………………………………………..