กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 145 ความทรงจำการตายอันน่าสะพรึงกลัว (2)
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก คล้ายตระหนักบางสิ่งได้ ทว่ากลับถามเสียงนิ่ง “นางถูกพิษใดหรือ?”
“ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกพิษประหลาดตั้งแต่ยังเยาว์วัย พระชายาทรงทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหายาวิเศษไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เพื่อรักษาอาการนาง พิษในร่างกายท่านอ๋องเป็นพิษที่ได้รับมาตอนที่นางกำลังขับพิษออกจากร่างพอดี แต่พิษของนางร้ายแรงกว่าท่านมาก เมื่อใดที่อาการกำเริบ แขนขาจะอ่อนแรง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขัดขืน”
“เพราะเหตุนั้น นางถึงได้ถูกพี่รอง…” หัวใจของตงฟางเจ๋อพลันหนักอึ้งทันที วันนั้นในห้องโถงไว้ทุกข์ของหลีซู เขาเห็นรอยฟกช้ำบนศพสตรี เห็นชัดว่าถูกคนกระทำชำเรามา จากนั้นพระชายาก็โกรธแค้นจนตรอมใจตาย นั่นคงเป็นร่องรอยที่ถูกตงฟางจั๋วขืนใจเป็นแน่! สตรีที่ทะนงตนถึงเพียงนั้น เพียงได้ใกล้ชิดกับนางข้างแม่น้ำหลานชางแค่คืนเดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงนิสัยอันแกร่งกร้าวของนางแล้ว ชั่วขณะหนึ่ง เขาถึงขั้นไม่กล้าจินตนาการ ว่าภายใต้สถานการณ์ที่หลีซูไร้แรงขัดขืน นางทนรับการรังแกจากตงฟางจั๋วที่กำลังคลุ้มคลั่งได้อย่างไร! เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
“ใช่แล้วเพคะ” ซูหลีตอบทันที จู่ๆ นางก็ไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้อีก กล่าวเสียงดังด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ นางก็คงไม่กลัวที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ของนาง ถึงแม้นางจะถูกขืนใจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย! หญิงสาวนั้นให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ของตนเองมากที่สุด ถูกปรักปรำด้วยความผิดร้ายแรงขนาดนั้น นางยังสืบหาคนที่วางแผนทำร้ายนางไม่เจอ จะตายง่ายๆ อย่างนั้นได้เช่นไร?!
นางเพียงต้องการหาสถานที่ที่ไร้ผู้คน อยู่เงียบๆ เพียงลำพังสักครู่ เพื่อใคร่ครวญเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ว่า… คนที่ทำร้ายนาง แผนการลึกล้ำ และรู้จักนิสัยนางเป็นอย่างดี ตั้งแต่ที่พิษกำเริบ จนถึงตอนออกจากจวน คนผู้นั้นคำนวณเวลาไว้อย่างแม่นยำ! แล้วยังจ้างมือสังหารตามนางมาจนถึงที่นี่”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น ความอัปยศอันเจ็บปวดทิ่มแทงถาโถมใส่จิตใจอีกครั้ง ตรงหน้าราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ รู้สึกได้เพียงไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้ามา!
ซูหลีก้าวเท้าไปข้างหน้าช้าๆ ความเจ็บปวดฉายชัดในดวงตา “มือสังหารผู้นั้นสวมชุดดำทั้งตัว ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยหน้ากาก ไม่พูดพร่ำทำเพลง แทงกระบี่เข้ามาทันที! หลีซูตอบสนองรวดเร็ว นางหลบดาบนั้นได้!” สายตานางฉายประกายร้อนรุ่ม ราวกับมองเห็นฉากไล่สังหารฉากนั้นด้วยตาตนเอง
ตงฟางเจ๋ออดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ม่านตาหดตัว
สายตาซูหลีผันเปลี่ยนไปมา กล่าวเสียงเย็นชา “หลีซูรู้ดีว่าตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกับอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด แต่ไม่นานนางก็ค้นพบว่าคนผู้นั้นไม่ได้ต้องการปล้นทรัพย์ แต่ต้องการสังหารนาง!”
ซูหลีก้าวเท้าไปทางซ้ายหนึ่งก้าว เสียงพูดเริ่มเร็วขึ้น “มือสังหารผู้นั้นมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจมาก ทุกกระบวนท่าโหดเหี้ยม มุ่งหวังเอาชีวิตโดยตรง หลีซูหลบได้ครั้งเดียวก็กินแรงไปมากแล้ว ไม่นานนางก็เริ่มเสียเปรียบ”
ตงฟางเจ๋อก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว คล้ายกับว่ายามนี้เขาก็มองเห็นฉากที่สตรีอ่อนแอนางหนึ่งกำลังต่อสู้กับมือสังหารชุดดำอย่างดุเดือดด้วยเช่นกัน
ซูหลีสาวเท้าไปข้างหน้า ราวกับกำลังเดินตามสองคนนั้นที่กำลังต่อสู้กันและค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางริมแม่น้ำ นางพูดรัวและเร็วขึ้นเรื่อยๆ “หลีซูเสี่ยงตายกระตุ้นชี่แท้ในร่างกาย ใช้ปิ่นทองที่เสด็จแม่มอบให้นางเป็นอาวุธ สู้กับมือสังหารผู้นั้นอย่างสุดชีวิต! นางฝืนยืนหยัดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ได้นานทีเดียว แต่ก็มิอาจล้มคู่ต่อสู้ได้ กระทั่งเมื่อเรี่ยวแรงใกล้หดหายมิอาจฝืนทนได้อีก ในที่สุดนางก็ถูกอีกฝ่ายใช้กระบี่…แทงเข้าที่หัวใจ!”
ตงฟางเจ๋อชะงักงัน พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก
ซูหลีชะงักฝีเท้า สายตาพลันแปรเปลี่ยน มือที่สั่นเทาน้อยๆ ยกกุมบาดแผลที่เคยคร่าชีวิตนางอย่างไม่รู้ตัว นางเงยหน้า มองไปยังสถานที่ที่เคยเกิดการต่อสู้อันดุเดือด พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ถึงแม้อย่างนั้น นางก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสในการโจมตีครั้งสุดท้ายหลุดมือไป นางพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี!”
ตงฟางเจ๋อเกร็งไปทั้งตัว ซูหลียังพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็เข้าใจหมดแล้ว หลีซู…นาง นางถึงกับเลือกใช้วิธีอันโหดร้ายถึงเพียงนั้นเพื่อจบชีวิตตนเอง!
“กระบี่นั้น แทงทะลุร่างกายนางทันที…โลหิตสีแดงสดไหลทะลัก แดงเสียยิ่งกว่าชุดแต่งงานของนาง นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่แทงปิ่นไปที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรง!” ซูหลีดึงปิ่นปักผมและแทงออกไปข้างหน้าอย่างแรง ก่อนจะพูดต่อ “มือสังหารผู้นั้นคงไม่มีทางคาดคิดว่านางจะยอมตายแต่ไม่ยอมศิโรราบ ด้วยความเดือดดาล เขาซัดฝ่ามือใส่ร่างนางจนกระดูกแหลกละเอียด!”
นางหยุดพูด และมองดูผิวน้ำที่มีคลื่นป่วนพล่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เรี่ยวแรงทั้งหมดราวกับถูกดูดออกจากร่าง กล่าวอย่างเหม่อลอย “หลีซูถูกซัดตกแม่น้ำหลานชาง และไม่เคยลอยกลับขึ้นมาอีก”
ทิวทัศน์อันงดงามดั่งภาพวาดข้างแม่น้ำคล้ายหายไปในพริบตา ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายและน่าเศร้าเหล่านั้น ราวกับฉายชัดต่อหน้าตงฟางเจ๋อ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
ซูหลีแหงนหน้าขึ้น ค่อยๆ หลับตา ขอบตาร้อนผ่าวเล็กน้อย ระลอกคลื่นในแม่น้ำซัดสาดเอาความอยุติธรรมและความอัปยศของนางไป ชีวิตวัยสาวของหลีซูถูกอาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน!
ซูหลีข่มกลั้นอารมณ์ของตนเองอย่างสุดความสามารถ กล่าวเสียงเบาว่า “หยกศิลาล้วนแหลกลาญ[1]คือทางเลือกสุดท้ายที่นางสามารถเลือกให้ตนเองได้ และเป็นการตายอย่างมีเกียรติที่สุด!”
ตงฟางเจ๋อจ้องมองซูหลี ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เอ่ยวาจาใด เรื่องจริงอันโหดร้ายทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งจนหายใจไม่ออก ไม่ว่าการที่นางทุ่มเทเพื่อรื้อคดีหลีซูขึ้นมาใหม่จะมีจุดประสงค์ใดกันแน่นั้น ยามนี้ ความรู้สึกที่ซูหลีแสดงออกมาเป็นของจริงแน่นอน ราวกับว่าแม้แต่ลมหายใจก็ยังแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด หากไม่ใช่คนที่รู้สึกราวกับประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง ไม่มีทางรู้สึกอย่างนี้ได้แน่นอน! วินาทีนี้เขาแทบจะล้มเลิกความคิดของตนเอง และเลือกที่จะเชื่อว่าหลีซูมาเข้าฝันนางจริงๆ
ดวงตาซูหลีเศร้าสลด ความเจ็บปวดสะท้อนชัด นิ้วมือของนางสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม เห็นชัดว่ากำลังพยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
น้อยนักที่นางจะแสดงด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ออกมา หัวใจของตงฟางเจ๋อพลันเจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบาย ความรู้สึกสงสารถาโถมจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยามนี้เขาอยากรวบนางเข้ามากอดเหลือเกิน อยากปกป้องนาง ไม่ให้นางถูกทำร้ายอีกตลอดกาล ตลอดกาล? เขาพลันรู้สึกตัว ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตนเองมีความคิดเช่นนี้ต่อนาง? หัวใจพลันหนักอึ้ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
“ท่านอ๋องรู้หรือไม่เพคะ คนที่มีความปรารถนาอยากมีชีวิตอยู่อย่างแรงกล้า กลับถูกบีบคั้นให้เข้าสู่สถานการณ์สิ้นหวัง และต้องตัดสินใจทำเช่นนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด? นางอดทนได้นานถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดผ่านมาสักคน เพราะสวรรค์ไม่ให้ทางเลือกอื่นแก่นาง”
ดวงตาที่แยกสีดำขาวชัดเจนของนางหันมามองเขาตรงๆ แล้วกล่าวต่อว่า “หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องเคลือบแคลงต่อวาจาของหม่อมฉัน หากเป็นแต่ก่อน หม่อมฉันก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องบ้าๆ เช่นนี้เหมือนกัน หลังตายท่านหญิงหมิงอวี้มาเข้าฝันหม่อมฉันทุกค่ำคืน เหตุการณ์อันโหดร้ายเหล่านั้นปรากฏในความฝันของหม่อมฉันเสมือนจริงทุกฉาก ค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่า…”
ซูหลีหอบหายใจ แล้วกล่าวต่อ “ท่านหญิงต้องทนกล้ำกลืนความแค้น ไม่รู้จะไปร้องขอความเป็นธรรมจากที่ใด จึงได้มาขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน หากหม่อมฉันยังไม่ช่วยนางร้องขอความเป็นธรรม หลักธรรมแห่งสวรรค์จะยังมีอยู่อีกหรือเพคะ?”
นางรู้ดีถึงความคลางแคลงใจของตงฟางเจ๋อ คนอย่างเขาจะเชื่อเรื่องผีสางง่ายๆ ได้อย่างไร เพราะเรื่องที่อธิบายยากที่สุดได้เกิดขึ้นกับตนเองแล้ว ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจลบล้างได้ และนางก็จะไม่ปล่อยให้เขาเจอจุดน่าสงสัยเด็ดขาด
ตงฟางเจ๋อพ่นลมหายใจยาวๆ ฟื้นคืนสติในพริบตา กล่าวเสียงเย็น “คดีของท่านหญิงหมิงอวี้มีจุดน่าสงสัยมากมายจริงๆ สมควรตรวจสอบอย่างละเอียด!”
ซูหลีสายตาเป็นประกาย “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องก็เคยสืบเรื่องของท่านหญิงเช่นกัน ไม่ทราบว่าได้เบาะแสใดบ้างหรือไม่เพคะ?”
……………………………………………..
[1]หยกศิลาล้วนแหลกลาญ แปลว่า นำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า แน่นอนว่าย่อมทำให้หยกสูญเสียความงดงามหรือย่อยยับลงได้ ภาษิตนี้ใช้เปรียบเทียบการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี จนทำให้ของสูงค่าเสียหายมอดม้วย คล้ายกับภาษิตไทยคือ เอาทองไปลู่กระเบื้อง เอาพิมเสนไปแลกเกลือ