กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 146 ความทรงจำการตายอันน่าสะพรึงกลัว (3)
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “จากที่ข้ารู้มา วันนั้นท่านหญิงหมิงอวี้ทิ้งคำสั่งเสียไว้ที่ริมแม่น้ำแห่งนี้!”
ซูหลีตกใจ “คำสั่งเสีย?”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า “ถูกต้อง มีคนค้นพบข้อความสั่งเสียที่ท่านหญิงใช้ปิ่นทองเขียนทิ้งไว้ บอกว่าตนเองทำให้บุพการีอับอาย ไม่มีหน้าจะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ผู้ว่าเมืองหลวงเมื่อได้รับรายงานก็รีบพาคนมาที่ริมแม่น้ำ วันนั้นฝนตกหนักมาก แต่อักษรที่ถูกสลักไว้ด้วยปิ่นทองกลับยังคงชัดเจน ยามที่เซ่อเจิ้งอ๋องมาถึง จำได้ทันทีว่าปิ่นทองนั้นเป็นของท่านหญิงหมิงอวี้!”
ซูหลีฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจ ไม่เอ่ยคำใด
ตงฟางเจ๋อกล่าวอีกว่า “เพราะฝนกระหน่ำ จึงเป็นอุปสรรคต่อการงมศพ กระทั่งสามวันต่อมา จึงค่อยพบศพของท่านหญิงอยู่ในร่องน้ำใต้แม่น้ำตอนล่าง เพราะสภาพศพเปลี่ยนไปแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋องจึงไม่อาจทนดูอย่างละเอียด เพียงสั่งให้คนนำศพใส่โลงทันที”
ซูหลีเพียงรู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจลำบาก ก่อนหน้านี้ยังเคยคิด ไม่มีใครสงสัยบ้างหรือว่านางถูกคนสังหาร? ตอนที่นางตกแม่น้ำ กระบี่ยังเสียบคาหน้าอกอยู่! ถึงแม้กระบี่ไม่อยู่แล้ว แต่บาดแผลยังคงอยู่! จนถึงตอนจัดพิธีคัดเลือกพระสวามี นางจึงเพิ่งรู้ว่าเสด็จพ่อจงใจปกปิดเอาไว้
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก กล่าวต่อว่า “เรื่องที่ท่านหญิงหมิงอวี้ตั้งครรภ์ก่อนแต่งกระจายไปทั่วเมืองหลวง กอปรกับมีคำสั่งเสียและปิ่นทองเป็นหลักฐาน ฉะนั้นจึงมีไม่กี่คนที่สงสัยว่านางถูกใส่ร้าย ผู้ว่าเมืองหลวงไม่กล้าพิสูจน์ศพเพราะอิทธิพลของเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่จากที่เจ้าเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟัง นั่นน่าจะเป็นสถานการณ์ลวงที่มือสังหารสร้างขึ้น เพื่อปิดบังความจริงเรื่องซื้อตัวมือสังหารฆ่าคน”
อิทธิพลของเซ่อเจิ้งอ๋อง! นึกไม่ถึงว่าฐานะอันสูงส่งนั้น ยามนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้นางถูกใส่ความทางอ้อม! ซูหลีสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงเย็นชา “จุดประสงค์ที่แท้จริงของคนร้ายที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือทำให้นางถูกชาวโลกประณาม ไม่มีทางล้างมลทินให้ตนเองตลอดกาล! อีกฝ่ายคำนวณทุกอย่างไว้อย่างแม่นยำ สุดท้ายยังทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้งอีกด้วย ความคิดที่ละเอียดรอบคอบและชั่วร้ายถึงขั้นนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนเพคะ”
“ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ในโลกใบนี้ ขอเพียงเป็นเรื่องที่เคยกระทำ อย่างไรก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างแน่นอน!” นัยน์ตาตงฟางเจ๋อสะท้อนไอพิฆาต นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็หยิบผ้าไหมสีขาวม้วนหนึ่งออกมา แล้วกล่าวว่า “แผนการทำลายชื่อเสียงของท่านหญิงหมิงอวี้เป็นเพียงมูลเหตุ แต่บาดแผลที่คร่าชีวิตนางจริงๆ เป็นฝีมือของมือสังหารผู้นั้น”
ซูหลีหันไปดู พบว่าเป็นผ้าไหมม้วนนั้น ที่ตงฟางเจ๋อใช้เป็นเหตุผลนัดพบนางในคืนนั้นที่บ้านพักตากอากาศ อักษรบนผ้าไหมสีขาวม้วนนั้น ตัวนางเองก็อ่านไม่ออก เพียงลอบตกใจว่าเขาได้มาจากที่ใดกันแน่ หลังจากนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก่อน ยามติดอยู่ในหุบเขาพวกเขาก็ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้อีก ตงฟางเจ๋อจึงเก็บผ้าไหมสีขาวม้วนนั้นกลับไปดังเดิม
สายตานางไหวสั่นเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “หม่อมฉันจำได้ ท่านอ๋องเคยบอกว่านี่เป็นของของนักฆ่าเฉินเหมินที่แฝงกายมาอยู่กับท่านอ๋อง”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า “ยามนั้นพวกข้าเพียงสงสัยว่าเขาเป็นหนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฉินเหมิน ยามนี้ เกรงว่าเขาจะเป็นผู้ร้ายที่สังหารท่านหญิง”
การสันนิษฐานของเขาตรงกับการคาดเดาของนางอย่างไม่ได้นัดหมาย ซูหลีถามเสียงเครียด “เหตุใดท่านอ๋องจึงคิดเช่นนี้เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้าบอกว่าท่านหญิงใช้ปิ่นทองแทงท้องเขาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี นั่นคือหลักฐานที่ดีที่สุด วันนั้นตอนที่เปิดศึกกับเฉินเหมิน ก็เป็นเพราะข้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา และเค้นถามทางเข้าสำนักเฉินเหมินจากปากเขามาได้ มิเช่นนั้นสถานที่ลึกลับเช่นนั้นข้าคงเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ หลังจากที่เขาตายข้าเคยตรวจสอบศพเขา และจำได้อย่างแม่นยำว่าบริเวณท้องเขามีรอยแผลสะดุดตาอยู่รอยหนึ่งจริงๆ”
ซูหลีสายตาเคร่งขรึม รีบยกมือชี้ไปยังร่างกายตงฟางเจ๋อเพื่อบอกตำแหน่งของบาดแผล “ใช่ตรงนี้หรือไม่เพคะ?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตงฟางเจ๋อพยักหน้าช้าๆ
ซูหลีหัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับกล่าวว่า “เพียงแต่อาศัยแค่เรื่องนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อส่ายหน้าบอกว่า “บาดแผลจากอาวุธทั่วไป มักมีรอยแผลที่คล้ายกันทั้งนั้น แต่บาดแผลตรงหน้าท้องของเขาค่อนข้างต่างออกไป ไม่ใช่รอยที่เกิดจากอาวุธมีดทั่วไปแน่นอน” เขาคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านหญิงได้แทงเขาที่ไหล่ขวาด้วยหรือไม่?”
ซูหลีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ถูกแล้ว จุดหนึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อจุดน่าสงสัยหลายจุดมารวมกัน ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป” เขากางมือทั้งสองข้าง คลี่ผ้าไหมสีขาวม้วนนั้นออก บนผ้าไหมมีสัญลักษณ์รูปร่างประหลาดอยู่สามแถว เป็นปริศนาที่ยังไม่อาจไขได้
ซูหลีสะท้านใจ เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอ๋องทราบหรือไม่เพคะว่านี่เป็นสัญลักษณ์อะไร?”
ตงฟางเจ๋อส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “สัญลักษณ์เหล่านี้ประหลาดมาก ข้าตรวจสอบแผนที่และสมุดทะเบียนสำมะโนครัวมากมาย ก็ไม่พบว่ามีบันทึกที่เกี่ยวข้องกัน จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจ เพียงแต่คิดว่าอาจเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้บันทึกภารกิจของมือสังหารในสำนักเฉินเหมินเท่านั้น”
ซูหลีลอบสะดุ้ง ตนเองเป็นถึงเจ้าสำนักเฉินเหมินยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์เหล่านี้ ตงฟางเจ๋อเป็นเพียงคนนอก กลับมีข้อมูลที่คล้ายคลึงกับนางแล้ว สมแล้วที่เป็นคนมีไหวพริบดี ฉลาดปราดเปรื่องเกินผู้ใด กลัวแต่ว่าเบาะแสสำคัญอย่างเว่ยซู่ เพลงกระบี่มือซ้ายก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์เช่นกัน ในเมื่อยืนยันตัวตนของเขาได้แล้ว สัญลักษณ์ที่อยู่บนผ้าไหมสีขาวผืนนี้ หวั่นซินอาจจะเข้าใจก็เป็นได้!
ซูหลีก้าวเข้ามา กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอ๋องเพคะ เบาะแสสำคัญอื่นๆ ล้วนไม่เหลือแล้ว มีเพียงหลักฐานของมือสังหารผู้นี้ที่อาจจะสืบสาวต่อไปได้ ผ้าไหมม้วนนี้มอบให้หม่อมฉันนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดได้หรือไม่เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม “ย่อมได้แน่นอน” กล่าวไป เขาก็ยื่นผ้าไหมม้วนนั้นมาให้ซูหลี
นางร้อนรนอยากรู้คำตอบ รีบเก็บม้วนผ้าไหมเข้าในแขนเสื้อ และกล่าวอย่างรวดเร็ว “นี่ก็สายมากแล้ว ซูหลีขอตัวกลับก่อนนะเพคะ”
ตงฟางเจ๋อมองออก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เพียงกำชับเสียงเบา “อืม ระวังตัวด้วย มีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ซูหลีพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ครั้นมองเห็นนัยน์ตาอันอ่อนโยนของเขาซึ่งมองมาที่ตนเอง คล้ายมีความรู้สึกอันท่วมท้นไหลวนอยู่ในนั้น นางก็รีบเบนสายตาหนีทันที แล้วทั้งสองก็กล่าวลากันอย่างนั้น นางเดินไปขึ้นเกี้ยวอย่างเร่งรีบ และมุ่งหน้ากลับจวนอย่างรวดเร็ว
บนทางเดินเส้นเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นทางมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง บรรยากาศเงียบสงบ สายลมในฤดูร้อนพัดเอาความเย็นผ่านเข้ามา ทันใดนั้น เสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดพลันดังมาจากเบื้องหน้า ผู้ติดตามระแวดระวังทันที รีบจอดเกี้ยว และถามเสียงร้อนใจ “ใต้เท้า เบื้องหน้ามีการต่อสู้ จะย้อนกลับไปทางเดิมหรือไม่ขอรับ?”
ซูหลีเลิกม่านมองออกไป เห็นเพียงห่างออกไปไม่ไกลมีคนชุดดำสองคนกำลังรุมโจมตีสตรีชุดขาวนางหนึ่งอยู่ สตรีนางนั้นสวมผ้าโปร่งคลุมหน้า มองเห็นโฉมหน้าไม่ชัดเจน ในใจนางพลันบังเกิดความสงสัย แคว้นเฉิงกฎหมายเข้มงวด กลางวันแสกๆ เช่นนี้ เหตุใดยังมีคนใจกล้าบ้าบิ่นปล้นทรัพย์บนถนน?
คนชุดดำสองคนนั้นโจมตีอย่างดุดันรุนแรง สตรีชุดขาวต่อสู้เพียงลำพัง ได้แต่ต้านรับท่าเดียว ผ่านไปไม่นานก็เริ่มต้านรับไม่อยู่ และค่อยๆ เคลื่อนไหวมาทางเกี้ยวของซูหลี ด้วยกลัวว่าซูหลีที่อยู่บนเกี้ยวจะโดนลูกหลง เหล่าผู้ติดตามจึงหยิบอาวุธขึ้นมาตั้งท่าพร้อมสู้
ในที่สุดสตรีชุดขาวก็พลาดท่า ถูกอีกฝ่ายซัดฝ่ามือเข้ากลางอก ร่างบางกระเด็นมาล้มอยู่หน้าเกี้ยวของซูหลี ผ้าโปร่งคลุมหน้าพลันหลุดร่วง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ซูหลีสะท้านไปทั้งตัว นางเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง คิ้วและดวงตาคู่นั้น อีกทั้งบุคลิกอันสง่างามนั่น นางคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าใคร เสียงร้องตกใจเกือบหลุดออกจากปาก นางพุ่งตัวออกจากเกี้ยวไปประคองสตรีนางนั้นขึ้นอย่างลืมตัว
“ใต้เท้าระวังขอรับ!” ผู้ติดตามร้องตกใจ
ซูหลีกลับเหมือนไม่ได้ยิน จ้องสตรีในอ้อมอกไม่วางตา เห็นอีกฝ่ายหลับตาสนิท ดวงหน้าซีดขาว คล้ายหมดสติไปแล้ว นางลนลานขึ้นมาทันที ก้มหน้าล้วงขวดยาจากอกเสื้อ ทว่ากลับไม่ทันเห็นว่าสตรีนางนั้นพลันลืมตา และคลี่ยิ้มแปลกๆ
…………………………………………….