กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 148 แหวนหยกขาวอันลึกลับ (2)
ซูหลีเบิกตากว้าง รู้สึกว่านัยน์ตาภายใต้หน้ากากนั้นมีแววซุกซนพาดผ่านเล็กน้อย ทั้งที่เป็นศัตรูกัน แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่อย่างบอกไม่ถูก
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากดึงมือกลับ และค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แหวนวงนี้คล้ายมีความสำคัญกับเขามาก ทว่ายามนี้ แหวนกลับอยู่กับตงฟางเจ๋อ ใจนางพลันสั่นไหว บางที…อาจฉวยโอกาสนี้หาคำตอบของปริศนาได้? นางหลุบตาเล็กน้อย รีบวางแผนในใจทันที
ซูหลีเอ่ยปากด้วยเสียงราบเรียบ “แหวนนี้ ข้าเคยเห็นเพียงวงเดียว”
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากสายตาเป็นประกาย จ้องหน้านางด้วยสายตาสะท้อนแววยินดีอย่างปิดไม่มิด
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย จึงไม่อาจมั่นใจได้ทันที แต่จู่ๆ ข้าก็นึกออกว่าเคยเห็นแหวนวงนี้อยู่กับเจิ้นหนิงอ๋องครั้งหนึ่ง”
“เป็นเขา…” ชายชุดเทาหน้าเสียเล็กน้อย บุรุษชุดดำสวมหน้ากากพลันส่งสายตาคมปลาบ เขาหยุดพูดทันที
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากโบกมือ ชายชุดดำรีบล้วงผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งออกมา ก่อนยื่นมาตรงหน้าซูหลี
นั่นมันของของมือสังหารที่ตงฟางเจ๋อมอบให้นาง!
ซูหลีตึงเครียด ผ้าไหมขาวผืนนั้นเมื่อครู่นางเก็บไว้ในอกเสื้อ มันต้องร่วงตกระหว่างทางอย่างแน่นอน จึงถูกพวกเขาพบเห็น ขณะกำลังสงสัย ชายชุดเทากล่าวเสียงเย็นชา “ของสิ่งนี้ท่านได้มาได้อย่างไร?”
ซูหลียิ้มบาง “ช่างบังเอิญยิ่ง ของสิ่งนี้ก็เป็นเจิ้นหนิงอ๋องให้ข้ามาเช่นกัน”
ชายชุดเทาไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด จ้องนางแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เจิ้นหนิงอ๋องได้มาได้อย่างไร?”
ซูหลีก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “เจิ้นหนิงอ๋องบอกว่าของสิ่งนี้เป็นของมือสังหารที่ฆ่าท่านหญิงหมิงอวี้ เขาได้มาด้วยความบังเอิญ ข้าจึงขอเขามาเพื่อใช้ในการสืบคดี”
เห็นเขายังคงทำท่าสงสัย ซูหลีจึงกล่าวอีกว่า “ท่านอยากได้แหวน ข้าช่วยท่านได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“ยามนี้ท่านยังเอาตัวไม่รอด คิดจะต่อรองกับข้า?” ชายชุดเทาเหล่มองซูหลี แล้วกล่าวด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“แหวนนี้ต้องสำคัญกับท่านมากแน่ๆ ถ้าหากเงื่อนไขเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย เหตุใดจึงไม่สามารถต่อรองกันได้เล่า?”
ชายชุดเทายังอยากต่อว่านาง แต่บุรุษชุดดำสวมหน้ากากกลับยกมือห้ามปรามเขา ส่งสัญญาณให้เขาเดินไปหา ชายชุดเทาจึงเดินไปหา บุรุษชุดดำสวมหน้ากากโน้มตัวกระซิบข้างหูหลายประโยค เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ชายชุดเทาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าไม่นานกลับรับคำเสียงเข้ม “ขอรับ”
“นายท่านของข้าบอกว่า หากท่านสามารถช่วยพวกข้าหาแหวน พวกข้าย่อมตกลงเงื่อนไขกับท่านได้หนึ่งข้อ”
ซูหลีพลันลิงโลด กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ ข้าจะช่วยท่านหาแหวน แล้วท่านก็บอกความหมายของสัญลักษณ์บนผ้าไหมผืนนี้กับข้า เป็นเช่นไร?”
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากสายตานิ่งขรึม ชายชุดเทามีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไป “ท่าน! รู้ได้อย่างไรว่าข้าอ่านสัญลักษณ์เหล่านี้ออก?”
ซูหลีคลี่ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “อักษรบนแหวนเป็นอักษรแบบเดียวกับสัญลักษณ์เหล่านี้ ในเมื่อพวกท่านกำลังตามหาแหวน ก็ไม่แปลกที่จะรู้จักอักษรเหล่านี้”
ชายชุดเทาหน้าเครียดเล็กน้อย สตรีนางนี้ที่แท้ก็แค่กำลังหยั่งเชิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะควบคุมตนเองไม่อยู่ ติดกับนางเสียได้! เขาพลันเจ็บใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุรุษชุดดำสวมหน้ากาก ตามคาด นายท่านดูไม่สบอารมณ์มากแล้ว เขายกมือโบกอย่างข่มกลั้น
ชายชุดเทาพลันฮึกเหิมขึ้นมาหนึ่งส่วน กัดฟันจ้องหน้าซูหลี และกล่าวว่า “ได้ หากท่านเอาแหวนมาให้พวกเราได้ ข้าจะบอกความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้ ตอนนี้…จะเข้าใกล้เจิ้นหนิงอ๋องได้อย่างไร?”
ซูหลีนัยน์ตาไหวระริก “นำกระดาษกับพู่กันมา ข้าจะนัดพบเขา เพื่อคุยเรื่องคดีของหลีซู เขาจะต้องมาตามนัดทันทีแน่นอน”
กระดาษกับพู่กันถูกนำมาส่งอย่างรวดเร็ว ชายชุดเทาแก้มัดเชือกที่มัดนางไว้ ซูหลีนวดคลึงข้อมือ ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรหนึ่งบรรทัด แล้วหยิบจดหมายฉบับนี้ยื่นให้เขาพร้อมเอ่ยว่า “ส่งไปที่จวนเจิ้นหนิงอ๋องโดยเร็ว ยิ่งช้าเท่าไร ยิ่งไม่เป็นผลดีกับพวกท่านมากเท่านั้น” ยามนี้ฐานะนางไม่ธรรมดา หายตัวไปเพียงคืนเดียวก็ผิดปกติมากแล้ว หากไม่รีบกลับจวนจะต้องเป็นที่สนใจของราชสำนักอย่างแน่นอน
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากจ้องหน้านางอย่างลึกซึ้ง สตรีนางนี้ไม่แตกตื่นลนลาน ซ้ำยังรู้จักมองหาโอกาสดีในการกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเองอีกด้วย
ชายชุดเทาก้มหน้าตรวจสอบจดหมายอย่างละเอียด มีเพียงอักษรสั้นๆ บรรทัดเดียว ‘เรื่องที่ขอคำชี้แนะในวันก่อน ยังไม่อาจไขข้อข้องใจ ยากข่มตาหลับ พรุ่งนี้ยามเซิน[1] พบกันที่แม่น้ำหลานชาง จากซูหลี’ ประโยคแสนธรรมดา เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพับอย่างระมัดระวัง แล้วสอดใส่ซองจดหมาย จากนั้นก็เรียกคนเข้ามา กำชับให้ไปส่งที่จวนเจิ้นหนิงอ๋องในคืนเดียวกันทันที
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงก้าวเท้าออกจากห้องไป เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู เขากลับหันมามองนางแวบหนึ่ง เพียงแต่สายตาเขาในครั้งนี้ช่างให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก ราวกับสามารถมองเห็นใบหน้าเยาว์วัยอันชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากนั้นได้ หัวใจของซูหลีเต้นรัวทันที
ประตูถูกปิดเบาๆ ซูหลีพิงกำแพงและค่อยๆ นั่งลง ตัดสินใจเก็บออมแรงไว้ พรุ่งนี้ยังต้องเดิมพันครั้งใหญ่ ขอเพียงตงฟางเจ๋อเดินไปตามแผนที่นางวางไว้ การเดิมพันครั้งนี้ก็ยังมีสิทธิ์ชนะ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ประตูเปิดออกอีกครั้ง บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารและน้ำชา เขาวางมันลงข้างกายซูหลีอย่างระมัดระวัง พลางก้มหน้ากล่าวว่า “นี่เป็นอาหารที่นายท่านเตรียมไว้ให้ท่าน เชิญทานตามสบายขอรับ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด คนผู้นี้กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเชื่องช้ายิ่งนัก นางรู้สึกแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะมองเขาหลายครั้ง มองเห็นเพียงบนใบหน้าเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยความนอบน้อม สายตาร้อนรุ่ม สบตานางอย่างไม่หลบเลี่ยง
ซูหลีพลันสะท้านไปทั้งใจ รอยยิ้มพาดผ่านในดวงตาอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับตอบเสียงราบเรียบ “อ้อ ข้ารู้แล้ว” นางแย้มยิ้มมองบ่าวรับใช้ ทว่ากลับไม่คิดแตะต้องอาหารอันโอชะเหล่านั้น
บ่าวรับใช้คนนั้นพยักหน้า จับแขนนางเบาๆ
ซูหลีส่ายหน้า กล่าวเสียงเบา “ข้ามีแผน เจ้าซ่อนตัวไว้ให้ดี หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
บ่าวรับใช้พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ารับทราบ เก็บของ และค้อมกายถอยหลังออกจากห้องไป
ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดมากวนใจซูหลีอีก แม้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย นางกลับนอนหลับได้อย่างสนิท
กระทั่งช่วงสายของวันที่สอง ประตูบานนั้นถูกเปิดออกอีกครั้ง ผู้เข้ามากลับไม่ใช่บุรุษชุดดำสวมหน้ากาก แต่เป็นคนแปลกหน้าอีกคน เขาหลุบตากล่าวเสียงเข้ม “คุณหนูซู เชิญขอรับ” ถึงแม้น้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีกลับนอบน้อมกว่าเมื่อวานมาก เห็นชัดว่าการที่บุรุษชุดดำสวมหน้ากากอาละวาดเมื่อวานมีผลไม่น้อย
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ลุกขึ้นอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีแตกตื่นแม้แต่น้อย นางเดินไปยืนตรงหน้าเขา แล้วหลับตา
ชายชุดดำตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่เอ่ยมากความ เพียงหยิบผ้าสีดำเส้นหนึ่งออกมาปิดดวงตานางอย่างเบามือ จากนั้นพาซูหลีเดินออกจากสถานที่ลึกลับแห่งนี้
ซูหลีดวงตามืดมิด รู้สึกเพียงว่าถูกคนประคองขึ้นรถม้า เพิ่งจะนั่งลงรถม้าก็เคลื่อนตัวทันที ในรถเงียบงัน เสียงที่กระทบโสตประสาทมีเพียงเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้น นางลอบกลั้นหายใจ แยกแยะกลิ่นอายในรถอย่างละเอียด ด้านหน้ามีลมหายใจที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่สายหนึ่ง ในใจพลันตระหนัก ในรถนอกจากตนเองน่าจะยังมีคนอื่นอยู่อีก คนผู้นั้นไม่เอ่ยปากพูดอะไรตลอดทาง คงเป็นบุรุษชุดดำคนเมื่อวาน นางจึงค่อยรู้สึกคลายใจ
นางเหวี่ยงแหฟ้าตาข่ายดิน[2]ไว้ขนาดนี้ หากตัวละครหลักไม่มา ละครฉากนี้จะสมบูรณ์ได้อย่างไร?
ประมาณหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้างนอกรถก็มีเสียงกระแสน้ำซัดสาดดังมาแต่ไกล
…………………………………………….
[1] ยามเซิน หมายถึงช่วงบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น
[2]แหฟ้าตาข่ายดิน เปรียบถึงล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่น