กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 151 รู้ใจโดยไม่ต้องบอก (2)
จดหมายฉบับนั้น อักษรตัวแรกของประโยคแรก อักษรตัวที่สองของประโยคที่สอง และอักษรตัวที่สามของประโยคที่สาม เมื่อเรียงกันกลับได้เป็นประโยคที่มีใจความว่า ข้ากำลังลำบาก
เรื่องราวหลังจากนั้น ไม่ต้องบอกก็คงรู้
ทั้งสองอดไม่ได้ที่ส่งยิ้มให้กัน ในสายตาที่สานประสบมีแววรู้ใจ แววชมชอบ และความเชื่อใจที่บอกไม่ถูกสะท้อนชัด ที่มากกว่านั้น คล้ายกับว่า…มีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายกำลังเติบโตภายในใจของทั้งสองฝ่าย
“ใช่แล้ว ผ้าไหมขาวผืนนั้น ไม่รู้ว่ายังอยู่กับชายชุดดำนั้นผู้นั้นหรือไม่ เมื่อวานถูกพวกเขายึดไป และใช้มันทำข้อตกลง ให้ซูหลีหลอกล่อท่านอ๋องมาติดกับ” ซูหลีทอดถอนใจ
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้ม “ซูซูไม่ต้องเป็นห่วง คนร้ายถูกจับแล้ว ข้ามีวิธีทำให้เขาพูดออกมา”
ตงฟางเจ๋อประคองซูหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้ากลับสู่จวนเจิ้นหนิงอ๋อง เขาอบอุ่นและใส่ใจนางถึงเพียงนี้ หัวใจของนาง ใกล้ชิดเขาอีกขั้นอย่างไม่รู้ตัว
นับจากพบหน้ากันครั้งแรก ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ซูหลีได้มาเยือนจวนเจิ้นหนิงอ๋องเป็นครั้งที่สอง ตงฟางเจ๋อเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางยุ่งเหยิง รีบกำชับให้บ่าวรับใช้นำทางไปอาบน้ำเปลี่ยนผลัดเสื้อผ้า
ร่างกายที่ตรากตรำมาหลายวัน พอได้แช่ในน้ำอุ่นไม่นาน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็จางหายไปกว่าครึ่ง ซูหลีรู้สึกผ่อนคลายจนเปล่งเสียงถอนใจเบาๆ ออกมา หลับตาทำสมาธิครู่หนึ่ง สติสัมปชัญญะฟื้นกลับมาไม่น้อย นางลืมตาขึ้น ค่อยๆ เลื่อนสายตามองพิจารณาห้องอาบน้ำห้องนี้ เทียบกับห้องอาบน้ำของนางในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ที่นี่ดูกว้างขวางกว่ามาก
แม้ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่าทุกซอกมุมกลับสะท้อนกลิ่นอายสูงส่งและสง่างามของเชื้อพระวงศ์ สิ่งของที่ใช้สอยก็ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีทุกชิ้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่หรูหราเกินกว่าเหตุสักนิด ช่างเข้ากับบุคลิกที่ชอบเก็บงำความรู้สึกของตงฟางเจ๋อยิ่งนัก
ชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของตงฟางเจ๋อพลันผุดขึ้นในสมอง ซูหลีใจเต้นอย่างไม่รู้ตัว เจ้าตัวไม่อยู่ที่นี่ แต่กลิ่นอายบุรุษอันเย็นชาและเผด็จการของเขากลับยังคงอบอวลไปทั่วห้องอาบน้ำแห่งนี้
ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของนางพลันเต้นระรัว รู้สึกเพียงน้ำในอ่างร้อนผ่าวจนมิอาจทนแช่ได้อีกแม้เพียงนิด นางลุกพรวดเดินออกจากอ่างอย่างรวดเร็ว คล้ายจงใจหลีกหนีบางอย่าง สาวรับใช้รีบเดินเข้ามา ใช้ผ้าขนหนูพันรอบตัวนาง
ซูหลีพยายามสงบสติอารมณ์ และควบคุมหัวใจที่กำลังสับสนว้าวุ่น อดไม่ได้ที่จะลอบขมวดคิ้วบางๆ ก็แค่ห้องอาบน้ำ นางจงใจหลีกเลี่ยงความคิดที่ชวนให้ลนลานสับสนเหล่านั้น ก่อนจะปล่อยให้สาวรับใช้เช็ดกายให้แห้ง
ด้านข้าง สาวรับใช้นางหนึ่งยืนอย่างนอบน้อม ในมือประคองกล่องไม้ลวดลายสวยงามเอาไว้กล่องหนึ่ง ฝากล่องถูกเปิดออก กลิ่นหอมของสตรีโชยออกมารางๆ ซูหลีอึ้งงัน กลิ่นนี้…กลับเป็นกลิ่นกำยานที่นางเคยชอบที่สุด
สาวรับใช้หยิบเสื้อผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง ผิวสัมผัสอันเรียบลื่นดั่งหมอกควันจางๆ ของอาภรณ์ พาให้รู้สึกราวกับอยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ดวงตาซูหลีฉายแววแปลกไป นี่ถึงกับเป็น…เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าเยียนหลัว
ผ้าเยียนหลัวผิวสัมผัสนุ่มนวล เบาบางดั่งเมฆหมอก เมื่อนำมาทำเป็นอาภรณ์สวมใส่บนกาย มองจากที่ไกลๆ ดูคล้ายมีกลุ่มเมฆาปกคลุมรอบกาย เหมาะที่จะขับเน้นบุคลิกอันอ่อนหวานของสตรีที่สุด นี่เป็นผ้าต่วนชั้นดีชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในแคว้นติ้ง ขั้นตอนการผลิตผ้าเยียนหลัวนั้นค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ผลผลิตจึงมีไม่มาก ราคาสูงลิ่วยิ่งกว่าทองคำ เชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นติ้งเองก็มีไม่กี่คนที่มีสิทธิ์ครอบครองผ้าชนิดนี้ ด้วยเหตุนี้ แคว้นติ้งจึงได้มอบเป็นของขวัญเชื่อมสัมพันธ์ให้แก่แคว้นเฉิงเพียงหนึ่งพับเท่านั้น นอกจากฮองเฮาและเหลียงกุ้ยเฟยแล้ว ฮ่องเต้ก็มอบให้แก่หลีซู บุตรีชายาเอกในเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนแต่เพียงเท่านั้น
ยามนั้นหลีซูชื่นชอบอาภรณ์ที่ทำจากผ้าเยียนหลัวยิ่งนัก นางจึงเชิญช่างหลวงในวังมาตัดเย็บอาภรณ์หน้าร้อนอันประณีตงดงามให้นางหนึ่งชุด ทว่านึกไม่ถึง ครั้งหนึ่งขณะออกไปเดินเล่นข้างนอก เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เสื้อผ้าชุดนั้นถูกเกี่ยวจนเป็นรูเล็กๆ เรื่องนี้ทำให้นางหงุดหงิดนานอยู่หลายวัน ต่อมา หลีเหยาได้ทุ่มเทกายใจเย็บซ่อมแซมรอยขาดนั้นอย่างละเอียด ภายนอกแม้ดูไร้ที่ติ แต่หากมองดูอย่างละเอียดก็ยังเห็นร่องรอย หลีซูจนใจ ได้แต่เก็บเสื้อผ้าที่โปรดที่สุดชุดนั้นไว้ไม่สวมใส่อีก
อาภรณ์ที่ทำจากผ้าเยียนหลัวชุดที่เห็นตรงหน้านี้ ตามหลักแล้ว คงเป็นของเหลียงกุ้ยเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย นางพลันฉงนฉงาย ในจวนของตงฟางเจ๋อมีเสื้อชุดนี้อยู่มิใช่เรื่องแปลก เขาและเหลียงกุ้ยเฟยสายสัมพันธ์แม่ลูกลึกซึ้ง หลังจากเหลียงกุ้ยเฟยจากไป เพื่อคลายความคิดถึง จึงได้นำสิ่งของของนางมาไว้ข้างกาย แต่ว่า อาภรณ์ที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงนำมาให้นางสวมใส่?
ชั่วขณะหนึ่ง นางมิอาจไขความสงสัยนี้ให้กระจ่างได้ ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้สาวรับใช้สวมเสื้อผ้าให้นาง ผ่านไปไม่นาน สาวรับใช้ก็แต่งองค์ทรงเครื่องให้นางเสร็จ
ณ ห้องหนังสือของจวนเจิ้นหนิงอ๋อง
เงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำคล้ายกำลังใช้ความคิด พลันนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ระลอกหนึ่งก็ดังเข้ามาจากนอกห้อง
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตาลึกล้ำจดจ้องอยู่บนเรือนร่างนาง มิอาจละออกไปได้อีกแม้แต่ครึ่งส่วน
เส้นผมยาวสลวยถูกปล่อยสยาย เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร ดวงตากระจ่างใสดั่งดวงดารา ทุกย่างก้าวที่นางเคลื่อนตัวเข้ามา รอบกายราวกับมีประกายแสงสีทองส่องสว่าง ลอยไหวตามร่างนาง ดูราวกับเทพธิดาลงมาเยือนโลกมนุษย์
ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแจ่มชัดถึงเพียงนี้ เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
โฉมสะคราญงามล่มเมืองนางหนึ่งลองสวมใส่อาภรณ์ที่ทำจากผ้าเยียนหลัวชุดนั้น และยืนพิจารณาอย่างละเอียดอยู่หน้ากระจก ครั้นเห็นเขาเดินมา กลีบปากงามของเหลียงกุ้ยเฟยก็คลี่รอยยิ้มรักใคร่ ดวงตาฉายแววยินดีหลายส่วน เอ่ยกับเขาด้วยเสียงอ่อนโยน ‘เจ๋อเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ? ดูสิ เสื้อชุดนี้ของแม่งามหรือไม่?’
เขายืนเหม่ออยู่นานมาก คล้ายไม่อยากเชื่อ เหลียงกุ้ยเฟยในยามนั้นงดงามดั่งเทพธิดาที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆมีประกายแสงสีทองรอบตัว
‘ได้ยินชื่อเสียงมิสู้เห็นของจริง ผ้าเยียนหลัวเป็นของล้ำค่าหายากจริงๆ! งดงามยิ่งนัก ใต้ฟ้านี้นอกจากเสด็จแม่ ก็ไม่มีสตรีนางใดเหมาะกับอาภรณ์ที่ทำจากผ้าเยียนหลัวชุดนี้อีกแล้ว’ เขามองดูอย่างละเอียดอยู่นาน ก็ยังไม่อาจตัดใจละสายตาออกไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม ‘ต่อไปเสด็จแม่ต้องใส่ให้ลูกดูบ่อยๆ ลูกดูทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเบื่อแน่พ่ะย่ะค่ะ’
เหลียงกุ้ยเฟยอดยิ้มกว้างไม่ได้ ยื่นนิ้วจิ้มหน้าผากเขา กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะว่า ‘เด็กโง่ คนที่จะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิตมิใช่แม่ หญิงที่เจ้ารักที่สุดต่างหาก ที่จะอยู่เคียงข้างเจ้าไปทั้งชีวิต!’
ตงฟางเจ๋อยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ สตรีที่เข้าตาเขา เกรงว่าคงยังไม่เกิดกระมัง?
เหลียงกุ้ยเฟยพลันบังเกิดความคิด เข้าไปในห้องเปลี่ยนอาภรณ์เยียนหลัวออก แล้วเก็บไว้ในกล่องไม้อย่างดี กล่าวเสียงอ่อนโยนกับเขา ‘เจ๋อเอ๋อร์ ภายหน้าหากเจ้าพบคนที่เจ้าต้องใจ จงมอบอาภรณ์ชุดนี้ให้นางสวมใส่’
ตงฟางเจ๋อตกใจ หมายจะกล่าวปฏิเสธ เหลียงกุ้ยเฟยกลับตบหลังมือเขาเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ‘อาภรณ์นี้ ถือว่าแม่มอบให้ชายาในอนาคตของเจ้าเป็นของขวัญพบหน้า ให้นางอยู่กับแม่ และอยู่เคียงข้างเจ๋อเอ๋อร์ลูกแม่ไปตลอดชีวิต’
ความรักและความห่วงใยที่ผู้เป็นมารดามีต่อบุตรชาย ทำให้ตงฟางเจ๋อขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ วาจาที่เขากล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจ เสด็จแม่กลับคิดจริงจัง นางชมชอบผ้าเยียนหลัวถึงเพียงนี้ แต่ก็ตัดใจยกให้เขาได้อย่างง่ายดาย อยากปฏิเสธแต่กลับไม่อาจเปิดปาก เหลียงกุ้ยเฟยภายนอกดูอ่อนโยน แท้จริงเป็นคนเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง หากตัดสินใจเรื่องใดไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเปลี่ยนใจนางได้
เรื่องราวในอดีตถาโถมเข้ามา ตงฟางเจ๋อเหม่อลอย จมสู่ห้วงแห่งความทรงจำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาอย่างไม่อาจควบคุม จนกระทั่งซูหลีเดินมาถึงตรงหน้า เขาก็ยังเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
ครั้นเห็นตงฟางเจ๋อไร้การตอบสนอง ซูหลีพลันอึ้งงัน ขานเรียกเสียงเบา “ท่านอ๋องเพคะ?”
ตงฟางเจ๋อสายตาสะดุด สีหน้ากลับมาเป็นปกติ เขาแย้มยิ้มบางๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปหานาง จากนั้นก็มองพิจารณาอย่างละเอียด แล้วกล่าวชมจากใจ “อาภรณ์ตัวนี้ เหมาะกับเจ้ามากจริงๆ”
…………………………………………………