กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 152 รู้ใจโดยไม่ต้องบอก (3)
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ท่านอ๋องมอบความโปรดปรานให้ซูหลีมากมายถึงเพียงนี้ กลับทำให้ซูหลีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก”
ตงฟางเจ๋อเลิกคิ้วเบาๆ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “เหตุใดซูซูกล่าวเช่นนี้?”
“อาภรณ์นี้เป็นของล้ำค่าหายาก แม้รูปแบบการตัดเย็บเรียบง่าย ฝีมือกลับประณีตงดงาม มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของช่างหลวงในวัง อีกทั้งในจวนของท่านอ๋องก็ไม่มีญาติที่เป็นสตรีคนอื่น ฉะนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่อาภรณ์นี้เป็นของพระสนมยามยังมีชีวิตอยู่” ซูหลีตอบเสียงเบา
แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อเล็กน้อย ทว่าเขากลับพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเดาได้ถูกต้องแล้ว นี่เป็นของของเสด็จแม่ยามยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ซ้ำยังเป็น…ของที่นางรักที่สุดอีกด้วย” ผ้าเยียนหลัวล้ำค่าขนาดไหนไม่ว่าผู้ใดก็รู้ แต่ผู้ที่มีโอกาสเห็นของจริงกลับมีเพียงไม่กี่คน แล้วนางเคยเห็นอาภรณ์นี้จากที่ใดกัน?
ซูหลีพลันหัวใจเต้นรัว นึกไม่ถึงว่าเหลียงกุ้ยเฟยจะมีความชมชอบคล้ายตนเองมากถึงเพียงนี้ และความหมายแฝงในวาจาประโยคสุดท้ายของตงฟางเจ๋อก็ยิ่งทำให้นางลนลาน
“ในเมื่อเป็นของรักของพระสนม ซูหลีมิกล้ารับไว้จริงๆ รบกวนท่านอ๋อง ช่วยเตรียมเสื้อผ้าชุดอื่นให้ซูหลีเปลี่ยนด้วยเพคะ” ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น
ยามนางเอ่ยประโยคนี้ออกไป สายตาของตงฟางเจ๋อกลับหม่นหมองทันใด สำหรับเขา อาภรณ์นี้ไม่ได้มีความหมายเป็นเพียงของรักของเสด็จแม่เท่านั้น
ซูหลีไม่สบายใจเพราะเหตุใด เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่ตัวเขาเองก็มิอาจอธิบายเหตุผลได้เช่นกัน เหมือนมันเป็นการกระทำที่ออกมาจากใจ และเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง หรือเพราะตัดสินใจจะสู่ขอนางแล้ว จึงได้ปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษเช่นนี้?
เห็นนางก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเชยคางนางขึ้นเบาๆ ซูหลีหัวใจเต้นรัว ใบหน้าเงยขึ้นตามแรงมือของเขา สายตามองตรงเข้าไปในม่านตาอันลึกล้ำและดำขลับของเขา
หากใกล้เข้ามาอีกเพียงนิด เขาก็สามารถจุมพิตนางได้แล้ว แต่ซูหลีกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพฤติกรรมใกล้ชิดของเขาในยามนี้ไร้ซึ่งแรงปรารถนาปะปน ส่วนลึกในดวงตางดงามดั่งหยกของตงฟางเจ๋อแฝงแววสับสน และมีความเจ็บปวดแฝงอยู่เลือนราง เขาจับจ้องใบหน้านางอย่างจดจ่อ
นางอึ้งงัน เขาคิดถึงเหลียงกุ้ยเฟยอีกแล้วหรือ? แต่นอกจากความชมชอบไม่กี่อย่างนั้น นางกับเหลียงกุ้ยเฟยก็ไม่ได้มีจุดที่คล้ายกันอีกแล้ว เช่นนั้น เขากำลังมองสิ่งใดอยู่กันแน่?
ทั้งที่เป็นอาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บขึ้นโดยวัดตัวเสด็จแม่ แต่เหตุใดเมื่อนางสวมใส่กลับพอดีได้ถึงเพียงนี้? หรือจะเป็นอย่างที่เสด็จแม่บอก นางคือ…นางในดวงใจของข้า?
ทั้งสองไม่มีใครยอมปริปาก เอาแต่เงียบงันอยู่เช่นนั้น จ้องตากันอย่างลึกซึ้ง ต่างฝ่ายต่างใจเต้นยากสงบ แววหยั่งเชิงสะท้อนชัดในดวงตา แม้แต่ลมหายใจก็ยังนุ่มนวลและแผ่วเบาปานนั้น ราวกับกลัวว่ามันจะพรากช่วงเวลาอันเงียบสงบที่หาได้ยากในยามนี้ไป
“ท่านอ๋อง!”
เสียงของเซิ่งฉินดังขึ้นที่นอกประตูอย่างกะทันหัน ทั้งสองพลันได้สติพร้อมกัน มือของตงฟางเจ๋อสะดุดกึก ซูหลีรีบฉวยโอกาสเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่กล้าสบตาเขาอีก รู้สึกเพียงหัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ
ตงฟางเจ๋อตั้งสติอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวเสียงเข้ม “มีเรื่องใด?”
“ทูลท่านอ๋อง ผู้ต้องสงสัยที่จับตัวมาเมื่อครู่บอกว่าต้องพบหน้าท่านหญิงหมิงซีก่อนจึงจะยอมเปิดปาก!”
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อมองตากันโดยมิได้นัดหมาย
ในห้องขังอันมืดมิด ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ เมื่อประตูบานใหญ่เปิดออก แสงสว่างรางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นสาดเข้ามาในห้องทันที แขนทั้งสองข้างของบุรุษชุดดำถูกมัดไว้ข้างบน ดวงตาเย็นชาจดจ้องไปยังผู้ที่เดินเข้ามาทั้งสองคน
ซูหลีเห็นสีหน้าโกรธแค้นของเขา ก็ยิ้มบางกล่าวว่า “ยามนี้ท่านถูกจับกุมแล้ว มิสู้สารภาพมาตรงๆ ยังมีโอกาสรอด!”
“โอกาสรอด?” เขาหัวเราะเย็นชา มุมปากมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาหนึ่งสาย “หลังจากที่เข้าลัทธิ ข้าก็เคยคิดไว้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ ข้าเลือกทางเดินเส้นนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสรอด ไม่ว่าข้าจะออกไปได้หรือไม่ อย่างไรก็หนีไม่พ้นคำว่าตาย!”
“ดี!” ตงฟางเจ๋อกล่าวชื่นชมพร้อมรอยยิ้ม “สมเป็นชายชาตรี เพียงแต่น่าเสียดาย เจ้ายอมตายแต่ไม่ยอมสารภาพ เกรงว่ายามนี้นายของเจ้าคงกำลังดีใจที่ตนเองวางแผนได้อย่างปราดเปรื่อง ส่งหมากเช่นเจ้ามาตายแทนอย่างนี้ได้!”
นัยน์ตาเย็นชาของเขาซ่อนประกายคมปลาบเอาไว้ บุรุษชุดดำหัวเราะเสียงดังลั่น “เจิ้นหนิงอ๋อง เจ้าไม่จำเป็นต้องยั่วโมโหข้า ได้สละชีพเพื่อผู้เป็นนาย ข้าไม่เคยคิดโกรธแค้น”
ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้กล้าเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ข้าน้อยชื่นชมในตัวท่านยิ่งนัก ขอเพียงท่านยอมคืนผ้าไหมขาว ข้าน้อยรับปากจะไม่สังหารท่าน”
บุรุษชุดดำกล่าวเสียงเย็น “ผ้าไหมขาวไม่ได้อยู่กับข้า เจ้าอย่าเสียเวลาจะดีกว่า”
ซูหลีหน้าเครียด “ผ้าไหมขาวเป็นกุญแจสำคัญในการไขคดีของข้า พวกท่านใจกล้าถึงขั้นเก็บไว้เป็นของส่วนตนเชียวรึ?”
บุรุษชุดดำหัวเราะเย็นชา ไม่เอ่ยคำใด
ซูหลีจนใจ ครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วถามว่า “เหตุใดท่านจึงต้องการพบข้าให้ได้?”
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้าติดต่อกับเขา และลักลอบวางกับดักด้วยวิธีใด?” บุรุษชุดดำกล่าวเสียงแค้น เขาเวียนว่ายในยุทธภพมาหลายปี นึกไม่ถึงว่าต้องมาพลาดท่าให้กับเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ สตรีนางนี้ภายนอกดูบอบบางอ่อนแอ แต่ความคิดกลับละเอียดรอบคอบเกินคนธรรมดา
คล้ายอ่านความคิดเขาออก ซูหลีหัวเราะ กล่าวว่า “ห้องลับแห่งนั้นมิดชิดจนแม้แต่สายลมยังพัดเข้าไปไม่ถึง ข้าจะมีโอกาสอะไรได้อีก ย่อมต้องเป็นจดหมายฉบับนั้นที่พวกท่านให้ข้าเขียนอยู่แล้ว”
บุรุษชุดดำตกตะลึง ตั้งแต่ถูกจับกุม เขาคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจ เขามั่นใจว่าแผนการที่วางไว้นั้นรัดกุมไร้ช่องโหว่ เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ใดกันแน่? คำตอบเพียงหนึ่งเดียวก็คือจดหมายฉบับนั้น แต่ก่อนที่จะส่งจดหมายฉบับนั้นออกไป นายท่านตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
ประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียว กลับถูกนำไปส่งพร้อมสารลับ อีกฝ่ายยังสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว จับกุมฝ่ายเขาได้อย่างราบคาบ การทำงานอย่างรู้ใจกันโดยไม่ต้องบอกเช่นนี้ หาได้ยากยิ่ง! แววตื่นตะลึงพาดผ่านดวงตาของบุรุษชุดดำ ชายหญิงที่ยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงหน้าเขารัศมีช่างเจิดจรัส แลดูเหมาะสมกันดังคู่ที่สวรรค์บรรจงสรรค์สร้างขึ้นมา ความมั่นใจอันแข็งแกร่งที่สะท้อนออกมาจากภายในเช่นนั้น ยากที่จะไม่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหว
ตกอยู่ในกำมือของคนเช่นนี้ เขา…คล้ายไม่รู้สึกเสียใจสักนิด เขาพลันลอบหัวเราะเยาะตนเองในใจ
“ความจริงถึงท่านไม่บอกข้าก็พอจะเดาได้รางๆ แล้ว” ซูหลีจ้องตาเขาอย่างแน่วแน่ ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวว่า “นายของท่าน จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิธิดาเทพแห่งแคว้นเปี้ยนอย่างแน่นอน”
สีหน้าเขาเปลี่ยนตามคาด ทว่ากลับยังคงกัดฟันแน่นไม่ยอมปริปากเช่นเดิม
ซูหลีหัวเราะพลางเอ่ยว่า “แหวนนั้น ก็คงเป็นของที่มาจากลัทธิธิดาเทพกระมัง? พวกท่านเดินทางมาไกลพันลี้เพื่อมาแคว้นเฉิง ก็เพื่อตรวจสอบว่าของสิ่งนี้อยู่ที่ใด ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เขาตัดสินใจหลับตาแน่น ยังคงไม่ยอมปริปาก แต่หนังตาที่กระตุกเบาๆ กลับเผยให้เห็นความกระสับกระส่ายในใจ
“เหอะ เจ้าคิดว่าเจ้าไม่พูดอะไร แล้วข้าจะตรวจสอบไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ตงฟางเจ๋อเดินมาหยุดตรงหน้า กล่าวเสียงเย็นชา “เมื่อข้าต้องการสิ่งใด ยังไม่เคยมีสักครั้งที่ไม่สมปรารถนา!”
ซูหลีพลันตึงเครียดเล็กน้อย วาจานี้เขาเคยกล่าวกับเจ้าสำนักเฉินเหมินในวันที่เปิดศึกครั้งใหญ่กับเฉินเหมินเช่นกัน ไม่ว่าเมื่อใด บุรุษผู้นี้ก็ไม่สามารถซ่อนรัศมีอันคมปลาบและความเย่อหยิ่งของตนเองไว้ได้
“เมื่อวานนายของท่านจับตัวข้าไป ข้าดูออก เขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายข้า เพียงสงสัยว่าข้ารู้ที่มาที่ไปของของสิ่งนี้หรือไม่ แต่ก็ไม่สะดวกเผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อสอบถาม จึงสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา” รอยยิ้มพาดผ่านหางตาซูหลี “เพียงแต่ที่น่าแปลกก็คือ ลัทธิธิดาเทพรู้ได้อย่างไรว่าข้าน้อยเคยเห็นแหวนวงนี้?”
บุรุษชุดดำได้ยินประโยคนี้สีหน้าพลันเปลี่ยน เขาเบิกตากว้าง จ้องนางอย่างระแวดระวัง เห็นชัดว่าซูหลีพูดจี้จุดเขาเข้าแล้ว ครั้นนึกได้ว่าเมื่อวานวางแผนจับตัวสตรีนางนี้กลับไป นายท่านไม่เอ่ยชมสักคำ มิหนำซ้ำสหายผู้นั้นยังถูกลงโทษด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นั้น!
…………………………………………………….