กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 154 ขอพระราชโองการไปแคว้นเปี้ยน (2)
หยางเซียวได้ยินก็ร้องตกใจ “หา? ทำไมเล่า หรือคดีที่ท่านหญิงกำลังสืบเกี่ยวข้องกับแคว้นของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลีทอดถอนใจก่อนตอบว่า “ใช่แล้วเพคะ แหวนหยกขาววงหนึ่งของท่านหญิงหมิงอวี้เป็นกุญแจสำคัญของคดีนี้ ดูจากเบาะแสที่มี แหวนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจจะมาจากลัทธิธิดาเทพของแคว้นเปี้ยนเพคะ”
หลางฉ่างอึ้งงัน ขมวดคิ้วแน่น อดเอ่ยอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นสำนักหนึ่งในยุทธภพหรือ? ดูท่าเรื่องนี้รับมือยากมากจริงๆ ท่านหญิงมีคนคอยช่วยเหลือแล้วหรือไม่?”
ซูหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทต้องส่งทหารอารักขาติดตามไปแน่นอน ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ”
หลางฉ่างพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก ในดวงตายังคงสะท้อนความเป็นห่วงไม่คลาย สายตาที่มองซูหลีแปรเปลี่ยนไปมา
หยางเซียวตบไหล่หลางฉ่างแรงๆ กระดกคิ้วเข้ม ถลึงตาโวยวายอย่างไม่พอใจ “องค์รัชทายาท ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าอาหลีน้อยไปแคว้นเปี้ยนแล้วจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับนางอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นท่านก็ดูเบาข้าหยางเซียวเกินไปแล้วกระมัง?!”
“อาหลีน้อย เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด? ข้าจะไปพร้อมเจ้า! ข้าจะเป็นผู้นำทางให้เจ้าเอง!” หยางเซียวหมุนกาย ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสนิทสนม สายตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ซูหลีมองหน้าเขา แล้วแย้มยิ้มบางๆ “ขอบพระทัยในน้ำพระทัยขององค์ชายสี่เพคะ แต่ซูหลียังพอรู้จักเส้นทางไปแคว้นเปี้ยนอยู่บ้าง” นางค้อมกายถอยหลังหนึ่งก้าว “ซูหลีมีเรื่องสำคัญต้องไปสะสาง ต้องขอตัวก่อน ขอองค์ชายสี่และองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วยเพคะ” เอ่ยจบ ก็หมุนกายเดินจากไป
ได้ยินเพียงเสียงตะโกนก้องของหยางเซียวดังตามหลังมา “อาหลีน้อย อย่าลืมสัญญาระหว่างเราเล่า” เขาตะโกนเสียงดังลั่นในวังหลวงอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับไม่ได้ยินการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลของซูหลี แม้แต่เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างๆ เขาก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ซูหลีแสยะยิ้มเย็นชา สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือส่วนพระองค์อย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นนาง ขันทีน้อยที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบรายงานทันที ก่อนจะนำทางคนโปรดคนใหม่เข้าไปด้านใน
ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ไม่ได้มีเพียงฮ่องเต้คนเดียว ฮองเฮาและตงฟางจั๋วกลับอยู่ที่นี่ด้วย ยามที่ซูหลีเข้าไป ได้ยินชื่อหลีซูแว่วๆ นางอดไม่ได้ที่จะสะดุดใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปถวายบังคม
ตั้งแต่พิธีคัดเลือกพระสวามี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่นางพบหน้าตงฟางจั๋ว ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเขาป่วย ดูท่าคงจะจริงดังว่า ยามนี้เขาดูซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าที่ยามปกติหล่อเหลาคมเข้มเวลานี้กลับดูซูบเซียว มีเพียงสีหน้าที่ยังถือว่าไม่เลว ไม่รู้เพราะเหตุใด ตงฟางจั๋วในยามนี้คล้ายทำให้นางรู้สึกต่างไปจากในอดีต
ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงขรึม “หมิงซีเข้าวังมาวันนี้ ใช่คดีของท่านหญิงหมิงอวี้มีความคืบหน้าหรือไม่?”
ซูหลีลุกขึ้น ตอบอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา วันนี้หม่อมฉันมาขอพระราชโองการจากฝ่าบาท ได้โปรดประทานอนุญาตให้หมิงซีเดินทางไปสืบเบาะแสที่แคว้นเปี้ยนด้วยเถิดเพคะ”
ครั้นวาจานี้หลุดจากปาก ทั้งสามต่างอึ้งงันไปพร้อมๆ กัน คดีของท่านหญิงหมิงอวี้เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับแคว้นเปี้ยนได้?
ซูหลีอธิบายเหตุผลเกี่ยวกับเบาะแสเรื่องแหวนหยกขาวให้ฮ่องเต้ฟัง ฮ่องเต้นิ่งเงียบไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะมองหน้านางพลางเอ่ยว่า “เวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน ท่านหญิงหมิงซีก็สืบหาเบาะแสสำคัญเจอแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้า ดี ข้าอนุญาต จะส่งองครักษ์ฝีมือดีคุ้มครองเจ้าไปแคว้นเปี้ยน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” ซูหลีรีบค้อมกายขอบพระทัย
“เสด็จพ่อ!” ตงฟางจั๋วพลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ลูกอยากเดินทางไปแคว้นเปี้ยนพร้อมกับท่านหญิงหมิงซี ขอเสด็จพ่อโปรดประทานอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ในดวงตาคมเข้มของเขาคล้ายสะท้อนความเจ็บปวดที่ยากอธิบาย
“จั๋วเอ๋อร์! อย่าพูดจาเหลวไหล! นางไปสืบคดี มิใช่ไปเที่ยวเล่น เจ้าเพิ่งหายป่วย หากเดินทางไปครั้งนี้แล้วเกิดข้อผิดพลาดอันใด จะให้แม่ทำเช่นไร?” ฮ่องเต้ยังไม่ทันเอ่ยปาก ฮองเฮาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิขึ้นมาเสียก่อน ไม่นานก็ตระหนักได้ว่าตนเองเสียกิริยา รีบคุกเข่ากล่าวอย่างลนลาน “หม่อมฉันเสียกิริยาต่อหน้าพระพักตร์ ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ!”
ซูหลีกระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มหยันเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
ฮ่องเต้มองนางด้วยสายตาเรียบนิ่ง ด้วยรู้ว่าพักหลังนี้ฮองเฮาเป็นห่วงลูกคนนี้ยิ่งนัก เขาลอบทอดถอนใจ มีหรือเขาจะไม่เป็นห่วงโอรสตนเอง? ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เอ่ยตำหนิมากมาย เพียงโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด ลุกขึ้นมาเถิด”
“เสด็จแม่เป็นห่วงจั๋วเอ๋อร์ จั๋วเอ๋อร์รู้ดีแก่ใจ เพียงแต่หลีซูนาง…” ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงหนักแน่น ทว่ายามพูดถึงชื่อหลีซู ลำคอพลันแห้งผาก เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังพยายามควบคุมความรู้สึก แล้วกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยคำนับฟ้าดินร่วมกับลูก ถือเป็นภรรยาของลูกตงฟางจั๋วแล้ว! หากลูกมิอาจสืบคดีนี้เพื่อนางด้วยตนเอง ลูกก็เป็นสวามีที่เลินเล่อยิ่งนัก! ลูกจะต้องสืบหาคนร้ายตัวจริง และสับร่างมันผู้นั้นเป็นชิ้นๆ ให้จงได้!” เอ่ยถึงตอนสุดท้าย ในดวงตาที่แดงเรื่อของเขาฉายแววเคียดแค้นสุดแสน!
ซูหลีร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นขึ้น เมื่อครู่ที่ตงฟางจั๋วคุกเข่า นางก็รู้แล้วว่าเขามีจุดประสงค์ใด ทว่ากลับไม่อาจพูดอะไรได้
คำสารภาพนี้ที่มาจากใจของเขา ท่าทีที่หนักแน่นจนไม่อาจปฏิเสธได้ของเขา ทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาอึ้งงัน ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร
ฮองเฮาทั้งร้อนใจทั้งโมโห สายตาที่มองตงฟางจั๋วเต็มไปด้วยความจนใจ นิสัยของโอรสนาง ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่านางผู้เป็นมารดาแล้ว ตงฟางจั๋วแม้มีนิสัยใจร้อนวู่วาม ทว่ากลับเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกยิ่งนัก เมื่อใดที่ตัดสินใจก็ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจเขาได้
ฮ่องเต้มองดูโอรสองค์โตที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาใคร่ครวญ ร่องรอยความเจ็บไข้ยังฉายชัดบนใบหน้า แววเจ็บปวดลึกซึ้งกลับสะท้อนชัดในดวงตา ท่าทางสูงส่งจองหองในวันวานคล้ายหมดสิ้นไปแล้วตั้งแต่พิธีคัดเลือกพระสวามีในวันนั้น ท่านหญิงหมิงอวี้สำคัญกับเขาถึงเพียงนี้จริงหรือ?
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ได้โปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางจั๋วจ้องฮ่องเต้ตรงๆ น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว คล้ายกำลังแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ยอมถอยแน่นอน
ซูหลีพลันรู้สึกหนักใจ หากพูดจากใจ นางไม่ยินดีที่จะร่วมงานกับเขาสักนิด ถึงแม้ในพิธีคัดเลือกพระสวามีในวันนั้น เขาได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรงต่อการรื้อคดีของหลีซู แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความแค้นในใจนางเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ถอนหายใจยาว “ช่างเถิด เจ้าลุกขึ้นมาเถิด ข้าอนุญาต”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางจั๋วพลันคลายใจ รีบก้มหัวขอบพระทัย
“ฝ่าบาท!” ฮองเฮายังคงอดไม่ได้ที่จะร้องขึ้น
ฮ่องเต้ยกมือปรามนาง “ให้เขาออกไปเรียนรู้ข้างนอกบ้างก็ดี แม้จั๋วเอ๋อร์เพิ่งหายจากอาการป่วย แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ เป็นถึงโอรสองค์โตแห่งราชวงศ์ จิ้งอันอ๋องแห่งแคว้นเฉิง หากแม้เรื่องเล็กเท่านี้ยังทำได้ไม่ดี เช่นนั้นภายหน้าจะปกครองบ้านเมืองให้ดีได้อย่างไร?”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น ทั้งยินดีทั้งกังวลยากแยกแยะ ฮ่องเต้กล่าวถึงขนาดนี้ นางก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบ
ซูหลีเห็นว่าขอพระราชโองการได้แล้ว ก็ไม่รั้งอยู่อีก ลุกขึ้นอำลาฮ่องเต้และฮองเฮาทันที นางเพิ่งจะเดินออกจากห้องหนังสือไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงเรียกของตงฟางจั๋วดังตามมาด้านหลัง “หลีเอ๋อร์”
นางชะงักฝีเท้าหยุดเดิน “ท่านอ๋องมีเรื่องใดจะกำชับหรือเพคะ?”
“ขอบใจเจ้ามาก” ประโยคขอบคุณถูกเอ่ยออกจากปากอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ซูหลีไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าเช่นไร คิ้วงามขมวดเล็กน้อย มองเขาอย่างงุนงง
ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเลื่อมใส “ขอบใจทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อหลีซู หากไม่ได้หลีเอ๋อร์ ข้าคงเข้าใจนางผิดไปตลอดชีวิต” นึกถึงหลีซู เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมา แววสำนึกผิดสะท้อนชัดในดวงตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซูหลีมองดูเขาอย่างใจเย็น สายตาของนางราวกับกำลังมองผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตนเองแม้แต่น้อย ในส่วนลึกของดวงตาซ่อนความเกลียดชังท่วมฟ้าที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นเอาไว้
…………………………………………………