กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 155 ขอพระราชโองการไปแคว้นเปี้ยน (3)
‘ใต้ฟ้านี้ ยังไม่มีเรื่องใดที่ข้าตงฟางจั๋วไม่กล้าทำ!’ วาจานั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู ยากลืมเลือน
ซูหลีลอบหัวเราะเย็นชาในใจ เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้วเพคะ ไม่ว่าผู้ใดหากเป็นผู้มีมโนธรรม เมื่อเห็นความอยุติธรรมที่ท่านหญิงหมิงอวี้ได้รับ ล้วนไม่มีทางนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ซูหลีเพียงทำไปตามที่ควรเพคะ”
ตงฟางจั๋วสะท้านไปทั้งใจ หมายจะอ้าปากกล่าวอะไร ทว่ากลับถูกนางกำนัลที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตัดบทเสียก่อน “ท่านอ๋องเพคะ ฮองเฮารับสั่งหาท่านอ๋องเพคะ”
ไม่รอให้ตงฟางเจ๋อกล่าวอะไร ซูหลีรีบค้อมกายถอยหลังทันที “ฮองเฮามีรับสั่งหา คงมีเรื่องสำคัญ ท่านอ๋องไม่ต้องใส่ใจหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันขอทูลลา” เอ่ยจบ ก็หมุนกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ตงฟางจั๋ว ในที่สุดท่านก็ยอมรับแล้วหรือว่าตนเองเข้าใจนางผิด? ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ท่านรู้สึกผิดแล้วหรือ? หากรู้ว่าจะมีวันนี้ แล้วเหตุใดในอดีตต้องทำเช่นนั้น? ท่านในยามนั้น เผด็จการและเย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น ไม่เคยสนใจความรู้สึกผู้อื่น หากเขาเชื่อใจนางสักนิด เรื่องราวจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ไม่รู้เพราะเหตุใด ความเจ็บปวดพลันถาโถมใส่จิตใจนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพยายามสูดหายใจลึกๆ สะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมด และเดินออกจากประตูวังไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิงหมิงซี” เสียงอบอุ่นนุ่มนวลดังขึ้น รั้งฝีเท้านางให้หยุดเดิน ซูหลีตกใจเล็กน้อย หลางฉ่าง? เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่? นางหันกายไปตามเสียง คนผู้หนึ่งเดินลงจากเกี้ยวซึ่งจอดอยู่นอกประตูวัง เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งที่ควรจะจากไปตั้งนานแล้วนั่นเอง
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย “องค์รัชทายาทมีธุระใด เหตุใดไม่ให้นางกำนัลมารายงานเล่าเพคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” หลางฉ่างส่ายหน้า สาวเท้าเดินมายืนข้างกายนาง แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วง “เมื่อครู่ผู้แซ่หลางได้ยินว่าท่านหญิงถูกโจรจับตัวไปเมื่อวันก่อน? เป็นอะไรมากหรือไม่?” ถึงแม้นางจะยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว หลางฉ่างกลับยังคงเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
ซูหลีพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ที่แท้เขารอนานขนาดนี้ ก็เพียงเพื่อเรื่องนี้เองหรือ นางกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วง ซูหลีไม่เป็นอะไรมากเพคะ นักโทษถูกจับตัวแล้ว เพราะเหตุนี้จึงตรวจสอบเจอเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับคดี ถือว่ามีโชคดีในเรื่องร้าย”
“อีกฝ่ายรู้ฐานะของท่าน แต่ก็ยังกล้ากระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้ เดาว่าคงไม่ใช่คนธรรมดา ท่านอยู่ในที่แจ้ง เขาอยู่ในที่ลับ อย่างไรก็ต้องระวังตัวให้มาก!” หลางฉ่างขมวดคิ้วกล่าว
“ซูหลีจะระวังตัวเพคะ ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ”
หลางฉ่างถอนหายใจเบาๆ ฝืนตนเองให้ยิ้มเพื่อปิดบังความผิดหวังที่ซ่อนอยู่ในใจ “อีกไม่กี่วันผู้แซ่หลางก็จะเดินทางกลับแคว้นแล้ว เดิมทีคิดอยากเชิญท่านหญิงไปนั่งจิบชาที่หอน้ำชาอีกสักครา แต่เห็นท่านเร่งรีบสืบสวนคดีเช่นนี้ กลัวว่าคงจะไม่มีเวลาว่างเสียแล้ว”
“องค์รัชทายาทกล่าวหนักเกินไปแล้วเพคะ องค์รัชทายาทใกล้เดินทางกลับแคว้น เดิมทีซูหลีควรเป็นฝ่ายเลี้ยงอำลาให้พระองค์มากกว่า” ซูหลีรีบกล่าว สำหรับหลางฉ่าง นางมีความรู้สึกใกล้ชิดกับเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเขายื่นมือช่วยเหลือหลายครั้ง การหยั่งเชิงบนหออวิ๋นเยียนในวันนั้น การบอกใบ้ของหลางฉ่างได้บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเขาเห็นนางเป็นเสมือนญาติจริงๆ ถึงแม้ในใจนาง สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบก็ตาม ความเจ็บปวดฉายชัดบนใบหน้า บ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากกล่าวอำลา
“เรื่องคดีต้องมาก่อน เพียงท่านหญิงกล่าวประโยคนี้ ผู้แซ่หลางก็อุ่นใจแล้ว” เห็นนางทำหน้าคล้ายรู้สึกผิด หลางฉ่างรีบเอ่ยปลอบโยน เขาเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวอย่างกังวลว่า “เดินทางไปแคว้นเปี้ยนในครั้งนี้ ท่านหญิงจะต้องระวังตัวให้จงดี ในเมื่อแผนร้ายของอีกฝ่ายไม่ประสบผล พวกเขาจะต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ เป็นแน่”
น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พาให้ซูหลีอบอุ่นหัวใจ สำหรับนาง หลางฉ่างเป็นเหมือนพี่ชายที่แสนอ่อนโยน จึงพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม
หลางฉ่างทอดถอนใจกล่าวว่า “ผู้แซ่หลางมาแคว้นเฉิงในคราวนี้ เรื่องที่โชคดีที่สุดก็คือได้รู้จักกับท่านหญิง ถึงแม้ในอดีตท่านและข้าไม่เคยรู้จักกัน ผู้แซ่หลางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับท่านหญิงตั้งแต่แรกพบหน้า ราวกับว่าท่าน…เป็นญาติของข้า” พูดไป เขาก็แกะหยกห้อยเอวสีขาวชิ้นหนึ่งออกจากเอว ผิวหยกมันเงาวาววับ แกะสลักอย่างประณีต ผันหลง[1]ตัวหนึ่งกำลังแหวกกลุ่มเมฆเหยียบกลุ่มหมอก เห็นชัดว่าเป็นของล้ำค่าไม่ธรรมดา
“หยกห้อยเอวชิ้นนี้ เป็นสิ่งของที่ผู้แซ่หลางพกติดตัวเสมอ เนื่องในโอกาสอำลา ใคร่ขอมอบให้ท่านหญิงเป็นของขวัญ”
ซูหลีตกตะลึง รีบปฏิเสธ “ของขวัญนี้ล้ำค่าเกินไป ซูหลีมิอาจรับไว้เพคะ”
“หากท่านหญิงยอมคบหากับผู้แซ่หลางเป็นสหายจริง ได้โปรดอย่าปฏิเสธ ในใจข้า ท่านเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า” หลางฉ่างท่าทางจริงใจ วาจาอบอุ่น ทว่ากลับสะท้อนให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวที่ไม่อาจปฏิเสธอย่างชัดเจน
ซูหลีลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรปฏิเสธความหวังดีของเขาอย่างไรดี
หลางฉ่างเห็นนางนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ในใจย่อมเข้าใจ ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ ยัดหยกห้อยเอวใส่มือนาง แล้วกำมือนางแน่น กล่าวเสียงเบาว่า “ผู้แซ่หลางรู้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม แต่ว่า นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ข้าจะทำเพื่อท่านได้ ยังจำประโยคที่ข้ากล่าวที่หอน้ำชาได้หรือไม่? รักษาคนตรงหน้าไว้ให้ดี ถึงแม้ว่าท่านกับข้าจะเป็นเพียง…สหายก็ตาม”
ความรักและความห่วงใยที่ออกมาจากใจของเขา ทำให้ซูหลีอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจ ในที่สุดก็ทำได้เพียงถอนใจเบาๆ พยักหน้ายอมรับ “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทเพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซูหลี…ก็มิอาจปฏิเสธน้ำใจขององค์รัชทายาท”
หลางฉ่างยิ้มอย่างเอ็นดู จู่ๆ ก็ขยับไปใกล้ใบหูนาง แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “หากท่านมีเรื่องลำบาก นำหยกห้อยเอวชิ้นนี้ไปหาเถ้าแก่อู๋ร้านตีเหล็กอู๋จี้ที่อยู่บนถนนตงซื่อ เขาจะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่แน่นอน”
ซูหลีตกตะลึง มองเขาด้วยสีหน้าตกใจ แม้ว่านางจะคาดเดาได้ว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้ไม่ธรรมดา ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าจะสำคัญถึงเพียงนี้! ถุงผ้าต่วนที่เขาเสี่ยงอันตรายเพื่อที่จะได้มันมา ยังอยู่ในมือนางจนถึงตอนนี้ เรื่องนี้หลางฉ่างรู้ดีแก่ใจ ทว่ากลับไม่เอ่ยปากเปิดโปงตั้งแต่ต้นจนจบ นึกไม่ถึงก่อนเดินทางกลับ เขายังมอบสิ่งของที่ได้จากการเดินทางมาแคว้นเฉิงในครานี้ให้นางทั้งหมด!
เขาเชื่อใจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ?! หยกห้อยเอวชิ้นเล็กๆ ถูกกำแน่นไว้ในมือ ทว่ากลับรู้สึกราวกับมันมีน้ำหนักพันชั่ง กดดันจนพาให้หัวใจนางหนักอึ้งสุดแสน
เห็นนางยืนอึ้งค้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อ หลางฉ่างกลับใจคอกว้างขวาง ในสายตาสะท้อนความเศร้าโศก ยากที่จะทำใจกล่าวลา
ซูหลีข่มกลั้นความตกใจ ยิ้มอย่างจริงใจ กล่าวว่า “น้ำพระทัยขององค์รัชทายาท ซูหลีจะจดจำไว้ เสร็จเรื่องนี้เมื่อใด ซูหลีจะต้องไปรบกวนองค์รัชทายาทที่แคว้นติ้งแน่นอนเพคะ”
“จริงหรือ?” หลางฉ่างพลันยินดี น้ำเสียงอบอุ่นกลับไม่สงบนิ่งดังเช่นยามปกติ
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย เอ่ยเสียงใส “คำพูดของวิญญูชน”
หลางฉ่างจ้องหน้านาง รีบกล่าวต่อ “แม้รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากที่จะตามทัน!”
รอยยิ้มอันจริงใจสะท้อนชัดในดวงตาของทั้งสองฝ่าย ทุกการพบเจอ ย่อมมีการลาจากเสมอ
“ผู้แซ่หลางจะรอต้อนรับท่านหญิงอยู่ที่แคว้นติ้งเสมอ เช่นนั้นต้องขอลาแล้ว!” เอ่ยจบ หลางฉ่างหมุนกายเดินขึ้นเกี้ยวอย่างไม่ชักช้าอีก เขาจ้องนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ในใจมีวาจามากมายหลายพันคำยากจะกล่าวออกไป ทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงทอดถอนใจเบาๆ
ซูหลีแย้มยิ้มบางๆ มองดูเขาจากไป ความเศร้าโศกที่ต้องจากลาบังเกิดในใจ เป็นความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
ไม่นานหลังจากนั้น พระราชโองการก็ถูกถ่ายทอดลงมา คดีของท่านหญิงหมิงอวี้หลีซูมีความคืบหน้า สามวันให้หลัง ซูหลีขุนนางหญิงแห่งกองบังคับการขั้นหนึ่งนำคณะเดินทางไปสืบหาเบาะแสยังแคว้นเปี้ยนด้วยตนเอง ฮ่องเต้คัดเลือกองครักษ์ยอดฝีมือในวังร้อยกว่านายด้วยพระองค์เอง เพื่ออารักขาความปลอดภัยของคณะเดินทางและช่วยซูหลีสืบคดีอย่างเต็มกำลัง
จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ มิได้มีเพียงสืบหาเบาะแสเท่านั้น ซูหลีใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ตัดสินใจให้ศิษย์ในสำนักเฉินเหมินติดตามไปด้วยสามคน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
หวั่นซินกล่าวเตือน “คุณหนูเจ้าคะ พิษในตัวเจียงหยวนยังแก้ไม่ได้ เขาร้อนใจอยู่ทุกคืนวัน ข้าเป็นห่วงว่า…”
………………………………………………………….
[1] ผันหลง แปลว่า มังกรจำศีลที่ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์