กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 156 ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพ (1)
ซูหลีเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เขามีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ พิษที่เจ้าสำนักคนก่อนใช้กับเขาพิเศษมาก ไม่เพียงมีพิษหลายชนิด แต่ทุกครั้งที่ข้าจับจุดพิษในร่างกายเขาได้ สามวันหลังจากใช้ยาแก้พิษให้เขา ก็มักจะมีพิษอีกชนิดเกิดขึ้นมาใหม่เสมอ ไม่ใช่พิษที่จะแก้ได้ง่ายๆ จริงๆ”
หวั่นซินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เช่นนั้นทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ครั้งนี้…จะให้เขาติดตามไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ? ไปแคว้นเปี้ยนครั้งนี้รั้งอยู่เป็นเวลานาน ด้วยความคิดอ่านของพวกเขา เกรงว่าจะเดาฐานะของคุณหนูออกได้ง่ายๆ หากพิษในร่างเจียงหยวนมิอาจแก้ได้ แล้วเขาเกิดคิดคดขึ้นมา…”
ซูหลียิ้มบางๆ “เรื่องนี้ข้าก็เคยคิดเหมือนกัน ยาพิษใต้ฟ้านี้ เจ็ดถึงแปดส่วนอยู่ในแคว้นเปี้ยน เดินทางครั้งนี้ไม่แน่อาจมีผลดีต่อตัวเขา เชื่อว่าหากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เขาไม่มีทางคิดหักหลังข้าแน่ ส่วนเรื่องฐานะ เดิมข้าก็ไม่ได้คิดปิดบังเป็นพิเศษอยู่แล้ว ดูสถานการณ์เอาก็แล้วกัน”
หวั่นซินพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นนางก็จัดการวางแผนให้พวกเขาสามคนแปลงโฉม และแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มองครักษ์ ติดตามซูหลีไปยังแคว้นเปี้ยน
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่ของวันออกเดินทาง ทหารเครื่องแบบเต็มยศหนึ่งร้อยกว่านายยืนเรียงแถวเตรียมพร้อมออกเดินทางอยู่นอกประตูวัง ซูหลีนั่งบนรถม้า ตงฟางจั๋วควบม้า ครั้นเขาตะโกนสั่งให้ออกเดินทาง ทหารนับร้อยนายก็สาวเท้ามุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงด้วยท่วงท่าอันสง่างาม
เดินทางกว่าครึ่งวัน เพิ่งจะพ้นจากเขตเมืองหลวง ก็พลันได้ยินเสียงห้อตะบึงม้าระลอกหนึ่งดังมาจากด้านหลัง หันกลับไปดู เห็นเพียงยอดอาชาสิบกว่าตัวพุ่งทะยานเข้ามาดั่งลูกธนู
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสุดสวมอาภรณ์สีแดงเพลิง ท่วงท่าผ่าเผยไร้ความเกรงกลัว ดวงตาเปล่งประกายบีบคั้นผู้คน เป็นองค์ชายสี่หยางเซียวนั่นเอง ส่วนที่ตามหลังเขามาติดๆ ก็คือคณะทูตซึ่งประกอบไปด้วยฮูเอ่อร์ตูและกุนซือซู่มู่
หยางเซียวโบกมือตะโกนเรียกเสียงดังจากที่ไกลๆ “อาหลีน้อย รอข้าด้วย!”
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วมุ่น อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “หยางเซียวเพิ่งกลับไปเมื่อวานไม่ใช่หรือ?”
ซูหลีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “หลายวันก่อนหม่อมฉันพบเขาในวังหลวง เขารู้ว่าหม่อมฉันจะไปสืบคดีที่แคว้นเปี้ยน จึงตัดสินใจจะเดินทางไปพร้อมกันโดยพลการ หม่อมฉันไม่ได้รับปากเขาเพคะ”
สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เติบโตมาบนหลังม้า ทักษะการควบม้าของเขายอดเยี่ยมไร้ที่ติ เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค หยางเซียวและยอดอาชาของเขาก็พุ่งทะยานมาถึงข้างรถม้าของนางแล้ว เขาดึงบังเหียนม้า พร้อมกับตะโกนเสียงดังโวยวาย “อาหลีน้อย! เจ้าไม่รักษาคำพูด ตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่าจะไปพร้อมกัน! เหตุใดจึงไม่รอข้าเล่า?”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย จะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก องค์ชายสี่ผู้นี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง แต่อ่อนกว่านางสามเดือน ทั้งที่อายุน้อยกว่านาง กลับเอาแต่เรียกนางว่าอาหลีน้อย!
ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางจั๋วเย็นชา แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบคนที่มีนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเช่นหยางเซียวนัก
“โชคดีที่ข้ายังตามมาทัน ไม่เช่นนั้นคงต้องไล่อมฝุ่นตามหลังรถม้าเจ้าแล้ว! ข้ารีบตามมาเหนื่อยแทบตาย! อาหลีน้อย วันนี้ข้าตื่นเช้ามาก เพื่อไล่ตามเจ้าให้ทัน ข้านอนไม่พอด้วยซ้ำ เอาอย่างไรดี ให้ข้าขึ้นไปพักบนรถม้าสักครู่ได้หรือไม่?” หยางเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นชา “เป็นถึงองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน แม้แต่รถม้าสักคันก็ไม่ได้เตรียมไว้อย่างนั้นหรือ?”
หยางเซียวสะบัดศีรษะ ผมถักเปียช่อเล็กๆ ไหวไปตามแรง คล้ายไม่แยแสวาจาเสียดสีของตงฟางจั๋วแม้แต้น้อย ยักคิ้วหลิ่วตา กล่าวว่า “แคว้นเปี้ยนไม่เคยขาดม้า แล้วจะขาดรถม้าได้เช่นไรเล่า? ข้าเพียงอยากคุยกับอาหลีน้อยเท่านั้น อาหลี เจ้าไม่มีทางปฏิเสธข้าหรอก!” ประโยคสุดท้ายยังเอ่ยไม่ทันจบ เขากลับกระโดดจากหลังม้าเข้าไปในรถม้าของนางโดยตรง จากนั้นก็ขยิบตาให้ซูหลีพร้อมกับมอบรอยยิ้มชวนหลงใหล
“เจ้า!” เห็นเขาทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้ ตงฟางจั๋วพลันไม่พอใจ หมายจะอาละวาด ทว่ากลับถูกซูหลียกมือปรามเสียก่อน นางสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความหมายเล็กน้อย “ท่านอ๋องเพคะ องค์ชายสี่เป็นแขกของแคว้นเฉิง พวกเราในฐานะเจ้าบ้าน ย่อมต้องต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ ในเมื่อองค์ชายเหนื่อยล้า จะพักผ่อนในนี้สักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
ตงฟางจั๋วเข้าใจความหมายแฝงในวาจานาง ยามนี้ยังไม่พ้นเขตแดนแคว้นเฉิง หนุ่มน้อยผู้นี้เดิมก็ไม่เกรงกลัวกฎเกณฑ์ใดๆ อยู่แล้ว เกิดเขาก่อเรื่องวุ่นวายในแคว้นเฉิง ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย จึงทำได้เพียงสะบัดเสียงอย่างไม่พอใจ ปั้นหน้าบึ้งตึงไม่สนใจเขาอีก
หยางเซียวบิดขี้เกียจ เหยียดแขนเหยียดขาล้มตัวลงนอนแผ่หลา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ซูหลี “อาหลีน้อยใจดีที่สุด!”
ซูหลีเองก็ไม่สนใจ ปล่อยให้เขาทำตามใจ
ครั้นเห็นซูหลีไม่ยอมเอ่ยวาจา หยางเซียวพลิกกาย ตะโกนเรียกนางเสียงดัง “นี่ อาหลีน้อย”
ซูหลีหันไปเอ่ยถามเสียงเรียบ “องค์ชายมีเรื่องใดจะรับสั่งเพคะ?”
“ไม่มี ก็แค่เบื่อๆ” เขาพูดด้วยใบหน้าทะเล้น “มิสู้…เล่าเรื่องที่เจ้าสืบคดีให้ข้าฟัง ดูว่าข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง ดีหรือไม่?”
“อ้อ? เหตุใดองค์ชายจึงสนใจคดีที่ข้าสืบอยู่เช่นกันเล่าเพคะ?” ซูหลีพูดพลางเหล่มองเขา ก่อนจะยกมือเสยเส้นผมทัดใบหูคล้ายไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่สวมอยู่บนนิ้วมือเรียวยาว ก็คือแหวนหยกขาววงนั้นนั่นเอง
หยางเซียวสายตาสะดุดเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็ละสายตาออกไปอย่างแนบเนียน มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าไม่ได้สนใจคดี แต่เรื่องของอาหลีน้อย ก็เหมือนเรื่องของข้าหยางเซียว ไม่ว่าเมื่อใด หากเจ้าต้องการคนช่วย เพียงเอ่ยคำเดียว หยางเซียวจะบุกน้ำลุยไฟมาหาเจ้าทันที” วาจาประโยคนี้ของเขากล่าวได้อย่างจริงใจสุดแสน ราวกับมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางจริงๆ
“องค์ชายทรงเมตตาถึงเพียงนี้ ซูหลีขอบพระทัยมากเพคะ แต่เรื่องคดีไม่สะดวกแพร่งพราย องค์ชายโปรดอภัยด้วยเพคะ” ซูหลีเลื่อนสายตาออกไปด้วยท่าทีเฉยชา
“อ้อ ดูท่าคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากกระมัง” เขาเองก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ หลังจากนั้นเขาก็คุยเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของของผู้คนในแคว้นเปี้ยนให้นางฟัง น้ำเสียงหยางเซียวยามเอ่ยถึงบ้านเกิดตนเอง เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ อ้างว่ามียอดอาชาที่ดีที่สุดในโลก
จนกระทั่งฟ้ามืด เดินทางมาถึงที่พักม้าส่งสารพอดี ต่างคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน ไร้บทสนทนาอีกตลอดคืน
คณะเดินทางเดินทางไม่เร็วไม่ช้ามุ่งหน้าสู่เทียนเหมิน ตลอดเส้นทางหยางเซียวไม่ยอมขี่ม้า เอาแต่ขลุกอยู่บนรถม้าตั้งแต่ต้นจนจบ ดื่มกินตามอัธยาศัย พูดเองเออเอง เบิกบานใจยิ่งนัก แม้แต่คนใจเย็นอย่างหวั่นซิน เมื่อได้ยินเสียงหยางเซียว ก็ยังอดขมวดคิ้วอย่างปวดหัวไม่ได้
ตงฟางจั๋วหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา แต่กลับจนใจไร้หนทางกับองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนผู้นี้ นึกโมโหที่เดินทางไม่ถึงเขตแดนแคว้นเปี้ยนเสียที จะได้รีบไล่องค์ชายน้อยที่ชอบทำหน้าทะเล้นผู้นี้ให้ไปทางใครทางมัน
พวกเซี่ยงหลีปะปนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารองครักษ์ พวกเขาเดินคุมความเรียบร้อยอยู่ข้างรถขังนักโทษ กวาดตาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างอย่างระมัดระวัง สถานการณ์สงบตลอดการเดินทาง ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดเกิดขึ้น สามสี่วันหลังจากนั้น ขณะเข้าสู่ยามค่ำ ในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงชายแดนเทียนเหมิน
เทียนเหมิน ในฐานะที่เป็นชายแดนระหว่างแคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยน ตั้งอยู่ในป้อมปราการ การรักษาความปลอดภัยหนาแน่นกว่าแนวป้องกันอื่นมาก มองจากที่ไกลๆ ภูเขาเทียนเหมินงดงามดั่งภาพวาดตามคาด ยอดเขาอันสูงตระหง่านตั้งเด่นอยู่กลางกลุ่มเมฆ ราวกับเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติที่ปกป้องประตูเมืองไว้ แม่น้ำสายใหญ่ชื่อว่าปี้กูที่อยู่นอกเมืองทอดยาวและไหลเชี่ยวไปยังแคว้นเปี้ยน
โรงเตี๊ยมเทียนเหมินเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนเหมิน ว่ากันว่าเถ้าแก่ของที่นี่มีสายเลือดของชาวแคว้นเปี้ยนอยู่ นิสัยละมุนละม่อม เข้าได้กับทุกคน ประกอบกิจการจนรุ่งเรืองมีชื่อเสียงโด่งดัง
ซูหลีมองดูประตูใหญ่โรงเตี๊ยมที่ไม่ได้หรูหราแต่กลับตั้งตะหง่านโดดเด่นแห่งนั้นจากที่ไกลๆ ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก หากผ่านที่นี่ไป พรุ่งนี้ก็จะเข้าสู่เขตแดนแคว้นเปี้ยนแล้ว การเดินทางครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับค่ำคืนนี้แล้ว
“คืนนี้พักผ่อนที่นี่ก็แล้วกัน” ตงฟางจั๋วกระโดดลงจากหลังม้า เดินไปแหวกม่านรถม้าให้ซูหลี ทว่าใบหน้าทะเล้นของหยางเซียวกลับยื่นออกมาแทน สายตาตงฟางจั๋วเคร่งขรึม กล่าวเสียงเย็นชา “องค์ชายสี่คงพักผ่อนบนรถม้าพอแล้ว จะเดินทางต่อเลยก็ได้”
หยางเซียวกระดกคิ้ว กระโดดลงจากรถม้า ตะโกนเสียงดัง “โอ๊ะ พรุ่งนี้ก็จะต้องกลับแคว้นแล้ว ข้ากำลังอยากคุยกับอาหลีน้อยอีกสักหน่อย พอดีเลย คืนนี้พักที่นี่ก็แล้วกัน!” คล้ายต้องการยั่วโมโหตงฟางจั๋ว เขาไม่ลืมหันไปมองซูหลีที่กำลังลงจากรถม้า และยักคิ้วหลิ่วตาให้นาง
……………………………………………….