กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 158 ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพ (3)
บทที่ 158 ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพ (3)
โดย
Ink Stone_Romance
หวั่นซินคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ด้านหนึ่งคลุมตัวซูหลี พลางถามอย่างร้อนใจ “คุณหนูไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
ซูหลีส่ายหน้า เริ่มตั้งสติได้บ้างแล้ว นางรีบจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ กัดฟันกล่าวว่า “เจ้าหัวขโมยน่าตายนั่นถึงกับกล้ามาชิงแหวนตอนข้าอาบน้ำ”
ซูหลีสีหน้าพลันสะดุด เอ่ยเสียงร้อนใจ “เกิดเรื่องขึ้นกับนักโทษผู้นั้นใช่หรือไม่?”
หวั่นซินพยักหน้าทันที “อีกฝ่ายท่าร่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าร่วมต่อสู้กับอีกหลายคนก็ยังไม่อาจต้านทานไว้ได้ นักโทษผู้นั้นตายแล้วเจ้าค่ะ! ซ้ำเจียงหยวนยังถูกพิษอีกด้วย!”
“ถูกพิษ? ไม่ดีแล้ว เดิมทีเขาก็มีพิษในร่างกายอยู่แล้ว ต้องเป็นเพราะใช้ชี่แท้โดยไม่ระวังตัว ถึงได้ถูกอีกฝ่ายเล่นงานเข้า ไปดูเขากันเถิด”
ทั้งสองคนไม่รีรอ พากันลงไปชั้นล่างอย่างรีบเร่ง ในห้องของเจียงหยวน ฉินเหิงกำลังทำแผลให้เขา บาดแผลนั้นอาบไปด้วยเลือดสีแดงชุ่ม ซูหลีผลักประตูเดินเข้าไป สีหน้าตึงเครียด หวั่นซินรีบปิดประตูห้องทันที
เจียงหยวนกับฉินเหิงตกใจ จ้องมองหวั่นซินด้วยสีหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่าท่านหญิงหมิงซีมาทำอะไรที่นี่
ซูหลีถามอย่างเป็นห่วง “บาดแผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ครั้นวาจานี้หลุดออกจากปาก ทั้งสองก็พลันตกตะลึง ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปตรวจอาการเจียงหยวน ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบาใจ “โชคดีที่พิษไม่ร้ายแรงมาก กอปรกับฉินเหิงทำแผลได้ทันเวลา ข้ามียาลูกกลอนที่ช่วยได้ กินเสียสองสามเม็ด แล้วค่อยใช้ลมปราณขับพิษออกจากร่าง ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”
“ท่าน?” เจียงหยวนคล้ายต้องการเอ่ยบางสิ่ง เขาอ้าปากอย่างตกตะลึง “ท่านคือ…”
หวั่นซินกล่าวเสียงเบา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังกันอีก นางก็คือเจ้าสำนักของพวกเรา” แทนที่จะทำลับๆ ล่อๆ มิสู้เผชิญหน้าโดยตรง เฉินเหมินต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ถึงจะช่วยเหลือคุณหนูได้ดีกว่า
ทั้งสองอึ้งงัน ไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าสำนักของตนเองก็คือท่านหญิงหมิงซีแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน! ครั้นกระจ่างก็หมายจะลุกขึ้นคารวะ ซูหลีรีบเอ่ยห้ามปรามเสียงเบา “ไม่ต้องมากพิธี” เอ่ยจบ ก็หยิบขวดยาแก้พิษออกมาจากอกเสื้อ กำชับวิธีใช้ให้ฉินเหิงฟังอย่างละเอียด และบอกวิธีขับพิษออกจากร่างด้วยลมปราณ
เจียงหยวนสีหน้าสับสน ความจริงเขารู้สึกมานานแล้วว่านางก็คือสตรีที่ไปขอรับการรักษากับเขาที่หุบเขาฮวาอวี๋ และที่พิษในร่างเขารักษาไม่ได้เสียที ก็เป็นเพราะซูหลีสงสัยในตัวเขาจากการตรวจอาการในครานั้น ทว่าดูจากยามนี้ กลับเป็นตนเองที่ดูเบาจิตใจผู้อื่นเกินไป มิน่าเล่าวันนั้นนางถึงกล่าวว่า หากภายหน้ามีผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนัก นางจะยอมลงจากตำแหน่งแต่โดยดี ดูท่านางไม่ได้โกหก ด้วยฐานะที่เป็นที่จับตามองของนาง หากถูกเปิดโปงว่าเป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน รังแต่จะเกิดปัญหามากมายตามมา
และยามนี้เพื่อช่วยรักษาเขา นางถึงขั้นเสี่ยงอันตรายมาแก้พิษให้ เห็นได้ว่านางเป็นคนที่จริงใจต่อผู้อื่น ใจคอกว้างขวาง ตรงไปตรงมา พฤติกรรมของนางทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชม จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะรู้สึกเลื่อมใสนางอย่างแท้จริง เป็นความเลื่อมใสที่มาจากก้นบึงหัวใจ
ฉินเหิงใช้ลมปราณขับพิษให้เจียงหยวน เพียงไม่นานสีหน้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ
“ศิษย์ขอขอบพระคุณท่านเจ้าสำนักขอรับ!” เจียงหยวนค้อมกายทำความเคารพซูหลี
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ไม่ต้องมากพิธี สถานการณ์ในยามนี้ พวกเจ้าเรียกข้าว่าท่านหญิงจะดีที่สุด”
ทุกคนรับคำอย่างแข็งขัน
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “พิษในร่างกายเจียงหยวนพิเศษมาก ข้าใคร่ครวญเป็นเวลานานก็ยังหาวิธีแก้พิษไม่ได้ คล้ายกับเมื่อค้นพบหนึ่งชนิดและแก้พิษได้ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีพิษชนิดใหม่เกิดขึ้นมาอีก…”
เจียงหยวนหน้าถอดสี ขบกรามเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “เป็นพิษเหยียนเซิง!”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ “ถูกต้อง ตอนแรกข้าก็ยังสงสัย ยามนี้ดูแล้วคงเป็นเหยียนเซิงอย่างไม่ต้องสงสัย”
ฉินเหิงกล่าวอย่างตกใจ “เป็นพิษชนิดใดกัน? ไยข้าไม่เคยได้ยิน”
ซูหลีเอ่ยอย่างหนักใจ “ยาพิษชนิดนี้ร้ายกาจมาก ยาแก้พิษของพิษชนิดแรก ก็คือพิษ ครั้นแก้พิษได้ชนิดหนึ่ง พิษอีกชนิดก็ผุดขึ้นมา วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น”
หวั่นซินกับฉินเหิงอึ้งงัน นี่มัน… ไม่ใช่ว่าจะแก้พิษไม่ได้ไปตลอดชีวิตหรอกหรือ?
เจียงหยวนสีหน้าซีดเผือด “นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักคนก่อนจะระแวงระวังศิษย์ถึงขนาดนี้ ถึงกับใช้ยาพิษชนิดนี้กับศิษย์!”
ซูหลีทอดถอนใจ “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก แคว้นเปี้ยนมียาพิษมากมาย พิษในตัวเจ้าก็ถือกำเนิดมาจากราชวงศ์เปี้ยนเช่นกัน ถ้าหากการเดินทางครั้งนี้ราบรื่น ไม่แน่พวกเราอาจจะหาวิธีแก้พิษได้สำเร็จ”
เจียงหยวนมองหน้านาง ขอบตาพลันร้อนผ่าว ก้มหน้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “น้ำใจของเจ้าสำนักช่างหาได้ยากยิ่ง ศิษย์…จะขอติดตามเจ้าสำนักด้วยความภักดี ไม่แปรผันเป็นอื่น”
ซูหลีรีบประคองเขา “เจ้าเป็นหมอเทวดาแห่งยุค ซูหลีมิกล้ารับการคารวะนี้ไว้ ลุกขึ้นเถิด ยามนี้แหวนถูกช่วงชิง พวกเราต้องคิดหาวิธีโดยเร็ว”
หวั่นซินกล่าวเสียงเข้ม “โจรผู้นี้ฝีมือร้ายกาจ ซ่อนตัวอยู่ในห้องของท่านหญิงข้ากลับไม่รู้ กลัวแต่ว่าจะรับมือไม่ง่าย!”
ซูหลีหน้าเครียด “ลัทธิธิดาเทพร้ายกาจดังคาด สะกดรอยตามมาตลอดการเดินทาง จับทางพวกเราถูกตั้งแต่แรก จึงได้ใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม! สังหารคนนำทางโดยตรง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่มีคนนำทางอีกแล้ว!”
“เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ต้องชิงแหวนวงนั้นกลับมา ไม่เช่นนั้นเบาะแสของคดีนี้จะขาดหาย!”
“ด้วยฝีมือของเซี่ยงหลี ไล่ตามคนผู้นั้นไปไม่น่าจะเป็นปัญหา”
ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์สว่างสดใสที่สาดแสงสีขาวนวลกระทบผืนดิน เซี่ยงหลีนำทหารกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปติดๆ เบื้องหน้ามืดสลัว เงาร่างสวมเสื้อคลุมสีดำสามสายวิ่งทะยานไปด้วยความเร็ว มุ่งหน้าสู่ทางเดินเส้นเล็กบนเขาเทียนเหมิน
ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ยังพอแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้รางๆ ดอกไม้ใบหญ้าเบ่งบานทั่วภูเขา ถนนบนภูเขากลับสลับซับซ้อน สามคนนั้นคล้ายคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ผ่านไปไม่นาน ก็เกือบสลัดพวกเซี่ยงหลีสำเร็จ ทันใดนั้น ทั้งสองฝ่ายวิ่งไล่กันมาจนถึงสามแยกแห่งหนึ่ง กลุ่มเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านั้นกลับไม่วิ่งหนีอีก
พวกเขาพลันหันกลับมา หนึ่งในนั้นร่างกายสูงใหญ่ มีสง่าราศีโดดเด่น ภายใต้ปีกหมวกที่ถูกดึงลงต่ำ คือหน้ากากสีเขียวแสยะเขี้ยวน่าเกรงขาม มองเห็นเพียงดวงตาเปล่งประกายคู่หนึ่ง เป็นบุรุษที่ช่วงชิงแหวนไปจากซูหลี และกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างนั่นเอง! ด้านซ้ายและขวาของเขา คือคนที่แต่งกายแบบเดียวกันกับเขาอีกสองคน
เซี่ยงหลีพลันตึงเครียด คนกลุ่มนี้มีการเตรียมพร้อมมาอย่างดี! พวกเขาทั้งสามคนเคลื่อนไหวกันอย่างกลมกลืน ยากจะแยกแยะออกว่าผู้ใดเป็นผู้ใด เขาจึงยกกระบี่ขึ้นและตะโกนเสียงเข้ม “โจรจากที่ใดกัน! ใจกล้าช่วงชิงของของท่านหญิงหมิงซี!”
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงทุ้ม พลันยกแขนขึ้นโบกกลางอากาศ เซี่ยงหลีระแวดระวัง ในใจตระหนักได้ถึงความผิดปกติ!
ได้ยินเพียงเสียง ‘บึ้ม’ หมอกควันสีขาวกลุ่มใหญ่พลันกระจายตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว เบื้องหน้ามองไม่เห็นสิ่งใด ราวกับหลุดเข้าไปในดินแดนแห่งม่านหมอก
เซี่ยงหลีมีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องฉวยโอกาสนี้หลบหนีเป็นแน่ จึงกระโดดขึ้นกลางอากาศ ร่างกายลอยสูงหลายจั้ง พ้นเหนือกลุ่มหมอกควันสีขาวเบื้องหน้า หมายจะสำรวจร่องรอยของอีกฝ่ายจากที่สูง ทว่านึกไม่ถึง เมื่อมองลงไป กลับไม่พบร่องรอยของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย!
วิชาตัวเบาของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเขางั้นหรือ?!
เซี่ยงหลีรีบทิ้งตัวลงบนพื้น ทุกคนช่วยกันปัดเป่าหมอกควันให้จางหาย ครั้นการมองเห็นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เงาร่างสามสายที่เคยยืนอยู่ตรงสามแยกก็หายไปแล้ว
เซี่ยงหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบตัดสินใจทันที “แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ตามไป!” ทหารนับสิบแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แยกย้ายวิ่งไปตามถนนบนภูเขาสามสายนั้น
กิ่งก้านของต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าต้นหนึ่งพลันสั่นไหว เงาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไร้ซุ่มเสียง หมายจะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดิมที่ทั้งสามวิ่งมา
ทว่าทันใดนั้น บนถนนอันคับแคบ มีเงาร่างสี่สายเยื้องย่างออกมาขวางทางเอาไว้
……………………………………………