กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 161 นัดหมายขององค์ชายสี่ (3)
หยางเซียวกลับหุบรอยยิ้มทะเล้น สีหน้าเคร่งขรึม กล่าวอย่างหนักใจ “ข้าเองก็รู้เรื่องไม่มากนัก รู้เพียงว่าคนผู้นี้ ก็เหมือนกับแหวนนั่น ตามหามาหลายปีก็ยังไร้ซึ่งเบาะแส” เอ่ยจบ เขาจ้องซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วกล่าวว่า “เจ้าถามเยอะขนาดนี้ ถึงตาข้าถามบ้างแล้วกระมัง?”
“องค์ชายสี่สงสัยอะไร ก็ถามข้าดีกว่ากระมัง!” เสียงทุ้มเข้มดังมาจากเบื้องหลัง หยางเซียวสีหน้าสะดุดเล็กน้อย
บรรยากาศรอบข้างคล้ายกับค้างเติ่งไปทันที ยังคงอยู่ในสารทฤดู ทว่าน้ำเสียงเย็นเยียบกลับทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
ตงฟางเจ๋อกระตุกริมฝีปากยิ้มเย็นชา กระโดดลอยตัวกลางอากาศมาทิ้งตัวลงข้างกายซูหลี แล้วกล่าวเสียงเข้ม “องค์ชายคงอยากรู้ว่าเหตุใดแหวนจึงอยู่กับข้า”
หยางเซียวมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา มิได้รับคำ
“แหวนนี้ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นหลักฐานสำคัญที่ท่านหญิงหมิงซีกำลังใช้สืบคดี” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเนิบช้า “ข่าวที่พวกเราปล่อยออกไปล้วนเป็นเรื่องจริง แหวนเป็นของท่านหญิงหมิงอวี้ น่าเสียดายที่เจ้าของแหวนวงนี้ที่ท่านกำลังตามหา ได้ตายไปแล้ว”
หยางเซียวตกใจเล็กน้อย “ตายแล้ว? ตายได้อย่างไร?” เขาหันไปมองซูหลีอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางของนางบ่งบอกชัดเจน
“ของสิ่งนี้เป็นของท่านหญิงหมิงอวี้ ซูหลีบังเอิญหน้าคล้ายนาง ฉะนั้นพวกท่านจึงจำผิด ซูหลีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทให้รื้อคดีท่านหญิงหมิงอวี้ขึ้นมาใหม่ ยามนี้คดียังคงเป็นปริศนาไร้คำตอบ ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้” ซูหลีกล่าวสีหน้าเรียบเฉย
หยางเซียวเพียงถอนหายใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าของจากโลกนี้ไปแล้ว เช่นนั้นให้ข้านำของสิ่งนี้กลับไปเพื่อปลอบพระทัยเสด็จพ่อได้หรือไม่?”
“ไม่ได้เพคะ!” ซูหลีปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “แหวนเป็นเบาะแสสำคัญของคดีนี้ คดียังไม่สิ้นสุด จะปล่อยให้องค์ชายนำหลักฐานไปได้เช่นไรเล่าเพคะ”
“หากเพียงเพื่อปลอบพระทัยจริงๆ องค์ชายสี่ไยต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อวางแผนการถึงเพียงนี้? องค์ชายกล่าวโป้ปดอย่างเปิดเผยเกินไปแล้ว” ตงฟางเจ๋อแววตาร้อนระอุ เห็นชัดว่าไม่เชื่อ
“จริงหรือไม่ ข้าเองก็ไม่สะดวกเอ่ยมากความ ถ้าหากพวกท่านไม่เชื่อ จะติดตามข้ากลับวังไปถามเสด็จพอย่อมได้ เชื่อว่าเสด็จพ่อคงจะให้คำตอบที่น่าพึงใจกับท่านอ๋องได้” หยางเซียวลอบสังเกตสีหน้าของทั้งสองเงียบๆ แววคาดหวังพาดผ่านเลือนราง ราวกับหวังว่าพวกเขาจะสามารถกลับไปพร้อมเขาจริงๆ
ครั้นวาจานี้หลุดจากปาก ซูหลีพลันรู้สึกหวั่นไหว นางอยากรู้จริงๆ ว่าเสด็จแม่หรงซีจินเกี่ยวข้องอย่างไรกับราชวงศ์แคว้นเปี้ยน ชั่วขณะหนึ่งจึงลังเลยากตัดสินใจ
ตงฟางเจ๋อมองซูหลีแวบเดียว ก็คาดเดาความคิดของนางได้แล้ว รู้ว่าเพื่อสืบคดีนางจะต้องอยากไปตามหาคำตอบแน่นอน
สัญชาตญาณที่ผ่านการเคี่ยวกรำมานานหลายปีบอกเขาว่า เรื่องนี้มิได้ง่ายดายอย่างที่หยางเซียวกล่าว เบื้องหลังจะต้องมีความลับและอันตรายที่ไม่มีผู้ใดรู้ซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ไม่รอให้ซูหลีเปิดปาก ตงฟางเจ๋อรีบกล่าวขึ้นทันที “หากคดีนี้สิ้นสุดลง ท่านหญิงกับข้าจะเดินทางไปแคว้นเปี้ยนสักคราก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ องค์ชายก็รู้ คดีนี้เสด็จพ่อข้าเป็นผู้ถ่ายทอดราชโองการด้วยพระองค์เอง ส่งผลกระทบในวงกว้างยิ่งนัก นางในฐานะผู้รับผิดชอบ หากเกิดเรื่องผิดพลาดประการใดระหว่างสืบคดี เกรงจะกราบทูลลำบาก!”
วาจาของเขาแฝงความนัย ลอบเตือนสติซูหลี ว่าอย่าได้ลืมเลือนเรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้เด็ดขาด
ตามคาด เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหลีครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจริงๆ ทว่าไม่อยากละทิ้งโอกาส ความคิดพลันแล่นผ่าน กล่าวอย่างเด็ดขาด “คำเชิญขององค์ชาย หม่อมฉันขอรับไว้เพคะ”
ประกายยินดีพาดผ่านในดวงตาหยางเซียว แต่นึกไม่ถึงว่านางจะรีบเอ่ยประโยคต่อไปทันที “แต่ว่า ต้องรอให้คดีของท่านหญิงหมิงอวี้สิ้นสุดก่อน เมื่อใดที่ตามหาคนร้ายตัวจริงเจอ หม่อมฉันจะเดินทางไปถวายพระพรฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพร้อมกับแหวนวงนี้แน่นอนเพคะ!”
ความหนักแน่นในน้ำเสียงของนาง ทำให้หยางเซียวกระจ่างทันที ว่าการเชื้อเชิญนางไปแคว้นเปี้ยนในครานี้ เกรงว่าจะต้องผิดหวังเสียแล้ว เขามิอาจปกปิดความผิดหวังในสายตา กล่าวเสียงเนิบช้า “สัญญาปากเปล่า เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?”
“องค์ชายเพคะ พระองค์กับหม่อมฉันรู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ซูหลีเป็นคนเช่นไร คิดว่าพระองค์ก็คงรู้ดี หม่อมฉันพูดได้ ย่อมทำได้! เรื่องที่รับปาก ไม่มีวันคืนคำแน่นอนเพคะ”
หยางเซียวสะท้านใจเล็กน้อย สตรีที่ดูเหมือนบอบบางอ่อนแอตรงหน้าเขา กลับมีสติปัญญา และบุคลิกที่ผ่าเผยไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเพศเลย ถึงแม้พิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนั้นจะกลายเป็นเพียงเหตุการณ์ชุลมุนในตอนสุดท้าย แต่ตัวการทุกอย่างกลับเป็นตัวนางเอง เรื่องวิญญาณเข้าฝันเรียกร้องความเป็นธรรม ฟังดูแล้วก็คล้ายมีเรื่องเช่นนั้นอยู่จริง ในใจเขาเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก แต่ความกล้าหาญเช่นนี้ของนาง เขารู้สึกเลื่อมใสมันจากใจจริง
เขาเชื่อนางได้หรือไม่? ฐานะของนาง ยังต้องรอการยืนยัน ทว่า… เขาคล้ายไม่อาจควบคุมตนเอง ความยุติธรรมในใจของเขาเอนเอียงไปฝั่งนาง
ครั้นเห็นหยางเซียวลังเล ตงฟางเจ๋อรีบกล่าวเสียงขรึม “ความจริงท่านหญิงจะไปพบฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเมื่อใด ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์ชาย”
หยางเซียวสะดุดเล็กน้อย
“คดีนี้ยังมีหลักฐานสำคัญอีกหนึ่งชิ้น นั่นก็คือผ้าไหมขาวที่องค์ชายได้ไปจากท่านหญิงหมิงซี อักษรลึกลับบนผ้าไหมขาวคล้ายกับอักษรที่ถูกสลักอยู่บนแหวน คิดว่าองค์ชายคงรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น หากองค์ชายยอมให้คำชี้แนะ ช่วยพวกข้าไขความลับบนผ้าไหม เช่นนั้นการไขคดีก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ทันทีที่คดีหลีซูถูกไขกระจ่าง ท่านหญิงหมิงซีก็สามารถไปพบฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนได้เร็วขึ้น”
ซูหลีสะท้านใจ ตงฟางเจ๋อปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างล้ำเลิศดังคาด เมื่อทำเช่นนี้ไม่เพียงสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องคำเชื้อเชิญของหยางเซียวได้ ยังไขความลับสำคัญในการสืบคดีได้อีกด้วย
หยางเซียวมองหน้าซูหลีไม่เอ่ยคำใด ในใจคล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก ซูหลีจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “หากท่านหญิงหมิงอวี้เป็นสหายเก่าที่องค์ชายสี่กำลังตามหาจริง เช่นนั้นพระองค์ก็คงหวังว่าจะจับตัวคนร้ายที่ฆ่านางได้ในเร็ววันกระมังเพคะ?!”
หยางเซียวสายตาสั่นระริก เอ่ยอย่างหนักแน่น “ได้! ข้าจะช่วยเจ้า แต่ผ้าไหมขาวผืนนั้นไม่ได้อยู่กับข้า”
ซูหลีตกตะลึง เขาตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ? มองดูสีหน้าเฉียบขาดของเขา คล้ายกำลังเดิมพันกับบางสิ่ง ในใจพลันรู้สึกยากแยกแยะ
“ยามนี้ไม่อาจล่าช้าได้อีก พวกท่านรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเหมิน แปลความหมายอักษรที่อยู่บนผ้าไหมขาวเถิด” ตงฟางเจ๋อมองหน้าซูหลี แล้วกล่าว “พี่รองวางกำลังคนรออยู่ที่โรงเตี๊ยม ข้าไม่ปรากฏตัวจะดีที่สุด ข้าสั่งให้เซิ่งฉินกลับไปรออยู่แถวโรงเตี๊ยมแล้ว หากมีเรื่องใดให้เขามารายงานข้า”
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย ลอบตะลึงในความรอบคอบของเขา จึงพยักหน้าเงียบๆ เขามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะหมุนกายจากไป
หยางเซียวมองเงาร่างที่ห่างออกไปของเขา อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างครุ่นคิด “เจิ้นหนิงอ๋องผู้นี้ คล้ายใส่ใจเจ้ายิ่งนัก”
ซูหลีสะดุ้ง กล่าวเหมือนไม่ใส่ใจ “องค์ชายล้อเล่นแล้ว ท่านอ๋องกับคุณหนูหลีซูก็เป็นสหายเก่าก่อน ที่เขาทุ่มเทถึงเพียงนี้ ก็เพราะมีเหตุผลเพคะ”
หยางเซียวแย้มยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ทั้งสองกลับไปถึงโรงเตี๊ยม ก็พบตงฟางจั๋วนำกลุ่มทหารออกมาเฝ้าหน้าโรงเตี๊ยม เพื่อตั้งรับการโจมตีดังคาด ลานหน้าโรงเตี๊ยมมีคนยืนอยู่มากมาย คิดว่าเขาคงค้นหาทั่วทั้งด้านในและด้านนอกของโรงเตี๊ยมแล้ว ครั้นเห็นซูหลี ก็ดีใจเกินหน้าเกินตา รีบสาวเท้าเข้ามาตะโกนเรียกเสียงดัง “หลีเอ๋อร์!”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ “จิ้งอันอ๋อง”
ตงฟางจั๋วเหลือบเห็นหยางเซียวที่อยู่ข้างหลังนาง สีหน้าพลันเข้มขรึม อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จับโจรขโมยแหวนผู้นั้นได้หรือไม่?”
หยางเซียวหัวเราะเสียงดัง “เอ๋ จิ้งอันอ๋องค้นหาในโรงเตี๊ยมอยู่นานกว่าครึ่งวัน ได้เรื่องบ้างหรือไม่?”
………………………………………….