กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 162 นัดหมายขององค์ชายสี่ (4)
คล้ายสัมผัสได้ถึงแววเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา สีหน้าตงฟางจั๋วบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ถลึงตาจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “กลางดึกองค์ชายสี่ไม่พักผ่อนอยู่ในห้อง รีบร้อนออกไปทำอะไรข้างนอกหรือ?”
“โธ่! ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ข้าย่อมต้องไปช่วยอาหลีน้อยจับโจรอยู่แล้วสิ!” นัยน์ตาดำขลับของเขากลิ้งกลอกไปมา พลางวางมือบนไหล่ซูหลีอย่างรนหาที่ตาย พร้อมกับฉีกยิ้มยียวนกว่าที่เคย “ข้าก็เคยพูดแล้วอย่างไร เรื่องของอาหลีน้อยก็เหมือนเรื่องของข้า!”
ตงฟางจั๋วสายตาเย็นชา เห็นชัดว่าเป็นสัญญาณก่อนบันดาลโทสะ ซูหลีผลักหยางเซียวออกอย่างแนบเนียน ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมเร็วๆ “อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลยเพคะ เรื่องสำคัญเร่งด่วนกว่า”
ตงฟางจั๋วจำต้องข่มเพลิงโทสะในใจ เดินตามหลังนางไปพร้อมกับหยางเซียว ครั้นเหล่าองครักษ์ของหยางเซียวเห็นเขากลับมา ก็พากันค้อมกายทำความเคารพ เขาบิดขี้เกียจ หัวเราะบอกว่า “น่ารำคาญจริงๆ เสียงดังโวยวายจนนอนไม่หลับแล้ว อาหลีน้อย เจ้าจะให้ข้าช่วย เช่นนั้นก็ไปห้องข้าเถิด”
“ช่วยอะไร?” ตงฟางจั๋วชะงัก
ซูหลีพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอบพระทัยองค์ชายสี่เพคะ เชิญเพคะ” นางสาวเท้าเดินตามไป ตงฟางจั๋วสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่กลับทำได้เพียงตามใจนาง ครั้นเข้ามาในห้อง หยางเซียวก็เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงทันที
“อา ในที่สุดก็ได้เอนกายเสียที” รอยยิ้มเหลาะแหละของเขาประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ซูหลีเอือมระอา ก้าวเข้าไปดึงแขนเขาอย่างหงุดหงิด “องค์ชายพูดแล้วว่าจะช่วยหม่อมฉัน! รีบลุกขึ้นเถิดเพคะ”
เขาพลันกระตุกแขน ซูหลีไม่ทันตั้งตัวเสียหลักล้มลงไปบนเตียง ใบหน้างามโกรธเกรี้ยว หมายจะอาละวาด หยางเซียวกลับลอบส่งสายตาให้นาง ก่อนจะยัดผ้าไหมขาวเข้าไปในแขนเสื้อนาง เพลิงโทสะที่ลุกท่วมอกของนางพลันดับมอด
เห็นตงฟางจั๋วคล้ายใกล้ลงมือเพราะทนไม่ไหว นางรีบลุกขึ้นเดินไปนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ แล้วหยิบผ้าไหมสีขาวออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อย่ามัวเล่นอีกเลยเพคะ! รีบมาช่วยหม่อมฉันเร็วๆ!”
ผ้าไหมสีขาวถูกคลี่กางออก และวางบนโต๊ะพื้นเรียบ อักษรรูปร่างคล้ายบุปผาอันลึกลับยากคาดเดายี่สิบสี่ตัวแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นอยู่ภายใต้แสงสว่างที่สาดกระทบลงมา คล้ายกำลังดึงดูดให้ชาวโลกต้องมนต์สะกดของมัน
“นี่คืออะไร?” ตงฟางจั๋วเห็นผ้าไหมสีขาว ก็ถามขึ้นอย่างสงสัย
ซูหลีมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “นี่คือของของฆาตกรที่สังหารท่านหญิงหมิงอวี้เพคะ”
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน “ของของฆาตกร? แล้วหลีเอ๋อร์ไปได้มันมาจากที่ใด?”
“เจิ้นหนิงอ๋องได้มาตอนที่สืบหาเบาะแสเพคะ”
ตงฟางจั๋วสะท้านไปทั้งใจ เป็นเขาจริงหรือ? ในพิธีคัดเลือกพระสวามี ตงฟางเจ๋อประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าตนเองกำลังตามสืบคดีของหลีซูอย่างลับๆ เดิมทีนึกว่าตงฟางเจ๋อเพียงต้องการสลัดความผิดให้พ้นตัว จึงได้แต่งเรื่องโกหกขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง จู่ๆ ก็นึกถึงสายตาดูแคลนของซูหลีที่มองเขาในตอนนั้น คล้ายกำลังบอกว่าเขาในฐานะอดีตพระสวามีของหลีซู กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด ในใจพลันเจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
หยางเซียวในยามนี้กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม คิ้วเข้มขมวดแน่น ดวงตาคมปลาบดั่งนกเหยี่ยว จ้องอักษรบนผ้าไหมขาวอย่างจดจ่อ เห็นชัดว่ากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ครั้นเห็นว่านานแล้วเขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยา ซูหลีเริ่มเคร่งเครียด อดถามขึ้นไม่ได้ “เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเซียวเงยหน้าขึ้นช้าๆ กล่าวเสียงเครียด “รูปแบบของอักษรประเภทนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก มิใช่อักษรที่ใช้กันโดยทั่วไปของแคว้นเปี้ยนเรา อักษรตัวหนึ่งมีหลายความหมาย หากจะให้ข้าแปล ก็จำต้องใช้เวลาสักหน่อย”
ซูหลีพยักหน้า “ไม่เป็นไรเพคะ องค์ชายทรงละเอียดรอบคอบหน่อย ต้องมั่นใจว่าแปลถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคดีที่เกี่ยวพันถึงชีวิตคน ไม่ควรมีข้อผิดพลาด”
หยางเซียวมองหน้านางแล้วยิ้มเล็กน้อย “อาหลีน้อย วางใจเถิด เรื่องที่หยางเซียวรับปากเจ้า จะต้องทำให้ได้แน่นอน!” เอ่ยจบ เขาก็ปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึม จับพู่กัน และเริ่มไขปริศนาจากอักษรตัวแรก
ราวกับเวลาเดินช้าลง ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความทรมาน
หยางเซียวเขียนช้ามาก ทุกประโยคคล้ายต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจึงจะเขียนลงไป เขาหยุดใคร่ครวญอย่างจริงจังเป็นพักๆ ยิ่งนานไป บนหน้าผากก็ยิ่งมีเม็ดเหงื่อผุดพรายบางๆ เห็นชัดว่าต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด
ซูหลีลอบตะลึง อักษรตัวหนึ่งมีความหมายแฝงมากมาย เขาอาศัยเพียงความจำก็สามารถแปลความหมายได้แล้ว ช่างเป็นบุรุษที่ฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้ ในที่สุด กระดาษหลายแผ่นก็อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรมากมาย หยางเซียวถอนหายใจยาวๆ วางพู่กันลง คลายคิ้วที่ขมวดกันอยู่ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสร็จแล้ว”
ซูหลีพลันคลายใจ รีบเดินไปข้างกายเขา แล้วหยิบกระดาษขึ้นมา นางเพียงกวาดตามองผ่านแวบเดียว ก็เห็นชื่อของท่านหญิงหมิงอวี้หลีซูแล้ว! ความสงสัยทั้งหมดที่เคยมีได้รับการยืนยันในวินาทีนี้! เพลงกระบี่มือซ้ายเว่ยซูคือฆาตกรที่สังหารนางดังคาด!
แต่ว่าหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด อักษรยี่สิบสี่ประโยคข้างต้นที่แปลออกมา กลับมีเพียงครึ่งเดียว!
ตงฟางจั๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาชะโงกหน้าใกล้นาง และกวาดตาอ่านเพื่อหาคำตอบอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นชื่อหลีซู สายตาพลันเจ็บปวด ครึ่งประโยคแรกบันทึกชื่อและอายุของผู้ถูกลอบสังหาร รวมถึงวันเวลาที่ถูกสังหารไว้อย่างชัดเจน ทว่ากลับไม่บันทึกชื่อผู้บงการเอาไว้ด้วย เขาโพล่งถามอย่างลืมตัว “เหตุใดจึงมีเพียงครึ่งเดียว?”
หยางเซียวสีหน้าเรียบเฉย ยักไหล่แล้วกล่าวว่า “เพราะอักษรบนผ้าไหมขาวผืนนี้บันทึกอักษรไว้เพียงครึ่งเดียว หากต้องการไขคำตอบอีกครึ่งที่เหลือ เกรงว่ายังมีอักษรที่สอดคล้องกันอยู่อีกฉบับ”
มีเพียงครึ่งเดียว แล้วอย่างนี้จะทำเช่นไรดีเล่า?
สถานการณ์พลันยุ่งเหยิงทันที ซูหลีจ้องมองอักษรบนผ้าไหมขาว ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่านทันใด อักษรที่คล้ายกันนี้ยังมีอีกหนึ่งฉบับ สมุดลับที่อยู่ในห้องลับของเฉินเหมิน!
หยางเซียวเห็นสีหน้าครุ่นคิดของนาง สายตาไหวระริก คล้ายเดาบางอย่างได้ แต่กลับไม่พูดออกมา
ตงฟางจั๋วกลับมีสีหน้าหนักอกหนักใจ ในใจเขาเต็มไปด้วยความจนใจและความล้มเหลว ไม่ได้สังเกตเห็นดวงตานางที่หลุบต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิด เหตุใดหาเบาะแสเจอแล้วแต่กลับยังไร้ซึ่งคำตอบ?
ซูหลีตั้งสติ ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องพอแต่เพียงเท่านี้ไปก่อน องค์ชายคงเหนื่อยแล้ว ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ” พูดจบ นางก็ค้อมกายขอบพระทัยอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับตงฟางจั๋ว
“ผ้าไหมขาวผืนนี้จะต้องมีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่ๆ!” เห็นชัดว่าตงฟางจั๋วยังไม่ยอมถอดใจ
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “หม่อมฉันจะต้องสืบต่ออย่างละเอียดแน่นอนเพคะ ทรงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว จิ้งอันอ๋องเสด็จกลับห้องไปพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันเองก็เหนื่อยแล้ว มีเรื่องใดค่อยหารือกันวันพรุ่งนี้ดีกว่าเพคะ” เอ่ยจบ นางสาวเท้ากลับห้องโดยเร็ว รู้สึกเพียงว่าสายตากังวลของตงฟางจั๋วยังคงมองตามหลังมาตลอด
ซูหลีเดินเร็วมาก นางหลับตาเบาๆ ย้อนนึกถึงอักษรที่สอดคล้องกันกับคดีของหลีซูอย่างรวดเร็ว หลายเดือนมานี้ สิ่งของที่นำกลับมาจากห้องลับของเฉินเหมิน นางสำรวจดูจนหมดแล้ว สมุดเล่มนั้นก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่ภาพอักษรพวกนั้นกลับเด่นชัดในสมองนานแล้ว อักษรที่สอดคล้องกันยังมีอีกหนึ่งฉบับ! สมุดเล่มนั้นจะต้องเป็นความลับอีกครึ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่แน่ๆ!
นางมุ่งหน้ากลับห้อง รีบหยิบสมุดลับที่ได้มาจากเฉินเหมินทันที เป็นไปดังคาด นางเจอบันทึกที่มีอักษรคล้ายกับอักษรบนผ้าไหมขาวอย่างรวดเร็ว! นอกจากนี้ยังมีภาพที่สอดคล้องกันอีกหนึ่งภาพ นางหากระดาษและพู่กันมาคัดลอกลงบนกระดาษไม่ให้มีผิดเพี้ยน เรื่องไม่อาจล่าช้าได้อีก ทำได้เพียงไปหาหยางเซียวอีกครั้ง นางกลับไปยังหน้าห้องหยางเซียว ลังเลครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือออกไป
‘ก๊อกๆ’ เคาะประตูเสียงเบามาก
“เข้ามา”
ซูหลีผลักประตูออก แล้วเดินเข้าห้องไป หยางเซียวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขากำลังจิบชาอย่างผ่อนคลาย คล้ายเดาได้แต่แรกแล้วว่านางจะย้อนกลับมา
………………………………………………………