กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 163 พลิกคดีบนตำหนักจินหลวน (1)
หยางเซียวกระดกคิ้ว เหล่มองนางด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “กลับมาเร็วขนาดนี้ ดูท่าข้าคงเดาไม่ผิด อักษรอีกครึ่งอยู่ในมือเจ้า”
ซูหลีไม่เอ่ยมากความ เดินไปนั่งอีกด้าน กางอักษรที่ถูกคัดลอกมาอย่างดีตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ต้องรบกวนองค์ชายอีกครั้งแล้วเพคะ”
บนกระดาษมีอักษรภาพอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นอักษรที่อยู่บนผ้าไหมขาว อีกกลุ่มหนึ่ง…กลับทำให้หยางเซียวต้องอึ้งงันไปเล็กน้อย อักษรนี้ถูกเข้ารหัสไว้!
เขาเม้มปาก ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ท่านหญิงได้บันทึกนี้มาจากที่ใด?”
ซูหลีตอบเสียงขรึม “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด หวังว่าองค์ชายจะไม่ถามมาก อย่างไรก็ตามคดีของท่านหญิงหมิงอวี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนัก ยามนี้ซูหลีไม่อาจบอกอะไรองค์ชายได้มากเพคะ”
หยางเซียวนิ่งงัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อักษรนี้ถูกเข้ารหัสสองชั้น เห็นชัดว่าเป็นอักษรที่ใช้กันเฉพาะในราชวงศ์เปี้ยน ข้าถึงได้ถามเช่นนั้น”
ซูหลีเองก็อึ้งงัน อักษรลับของราชวงศ์? หรือว่าเฉินเหมินก็เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เปี้ยน? นางกล่าวอย่างลังเล “องค์ชายสี่แน่ใจหรือเพคะว่านี่เป็นอักษรลับของราชวงศ์?”
“แน่นอน” สายตาเขาฉายแววจริงจังอย่างหาได้ยาก “อักษรลับนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์ของพวกข้าเท่านั้นที่เข้าใจ คนอื่นแม้รู้ว่ามันคืออะไรก็ไม่มีทางแปลออก”
ซูหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ของสิ่งนี้เป็นของสำนักเฉินเหมิน สำนักหนึ่งที่รับจ้างสังหารคน ซูหลีเองก็ได้มาโดยบังเอิญ ไม่สะดวกอธิบายรายละเอียดมากนัก หวังว่าองค์ชายสี่จะช่วยเหลือ ท่านหญิงหมิงอวี้จะลบล้างมลทินสำเร็จหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับของสิ่งนี้ หากองค์ชายสี่ช่วยซูหลีครั้งนี้ ซูหลีจะซาบซึ้งในบุญคุณมิรู้ลืมแน่นอนเพคะ”
รอยยิ้มยียวนกลับมาฉายชัดในดวงตาหยางเซียวอีกครั้ง “ได้สิ อาหลีน้อยต้องจำไว้ให้ดีเล่าว่าเจ้าติดค้างน้ำใจข้า!” จากนั้นก็ไม่เอ่ยมากความอีก เพียงรวบรวมสมาธิแปลโจทก์ยากสองข้อที่อยู่ตรงหน้าอย่างจดจ่อ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ในที่สุดคำตอบอีกครึ่งที่เหลือก็ถูกคลี่คลาย
ซูหลีหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างไม่รีรอ สายตาค้างเติ่งอยู่ที่ชื่อที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี หัวใจดวงน้อยราวกับจมดิ่งลงไปในเหวลึก ร่างกายแข็งค้างดั่งหิน ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนาง! เหตุใดจึงเป็นนางไปได้?!
อักษรที่อยู่บนกระดาษ ราวกับได้กลายเป็นรัดเกล้าที่ลอยพุ่งเข้ามาบีบรัดหัวใจนางไว้แน่น คล้ายกับว่ามันบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนนางหายใจไม่ออก
ครั้นเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของนาง เนิ่นนานก็ยังไม่พูดอะไร หยางเซียวอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “คนผู้นี้เจ้ารู้จักหรือ?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีตอบพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “รู้จักเพคะ”
รู้จัก จะง่ายดายแค่เพียงรู้จักได้อย่างไร?
สายสัมพันธ์ระหว่างพวกนางแม้ไม่ถือว่าแน่นแฟ้นสุดแสน แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ยามพบหน้ามักเกรงอกเกรงใจ เคารพต่อกันเสมือนแขก ที่ผ่านมาซูหลีไม่เคยกระทำเรื่องที่เป็นการล่วงเกินนาง แล้วเหตุใดนางจึงลักลอบจ้างมือสังหารมาฆ่าตนเช่นนี้?
เรื่องนี้เกรงว่ามีเพียงต้องกลับถึงเมืองหลวงก่อนจึงจะได้คำตอบ! ยามนี้ ซูหลีไม่อยากรออีกแม้แต่วินาทีเดียว อยากกลับเมืองหลวงไปจับตัวนางมาถามให้รู้เรื่องเสียเดี๋ยวนี้!
“อาหลีน้อย เรื่องที่เจ้าให้ข้าทำ ข้าก็ทำเท่าที่จะทำได้แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่เจ้ารับปากข้า เมื่อใดจะบรรลุผลเล่า?” เสียงเกียจคร้านของหยางเซียวดึงความคิดนางกลับมาได้อย่างถูกเวลา
ซูหลีมองหน้าเขาอย่างแน่วแน่ “จะช่วยคนย่อมต้องช่วยให้ถึงที่สุด ซูหลียังมีอีกเรื่องต้องการขอคำชี้แนะ องค์ชายสี่โปรดรับคำขอร้องของซูหลีด้วยเพคะ”
“เรื่องใด?” เขากระดกคิ้ว เห็นชัดว่าสนอกสนใจมาก
ซูหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากแขนเสื้อ แล้วตัดสินใจกล่าวว่า “สิ่งนี้ก็คือสมุดลับของสำนักรับจ้างสังหารคนสำนักนั้น ซูหลี ใคร่ขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่อีกสักเรื่อง…”
“อ้อ” เขาเหล่มองสมุดเล็กๆ เล่มนั้นอย่างฉงนฉงาย คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ความลับก็ซ่อนอยู่ที่นี่เอง?! ได้สิ นึกไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะใช้อักษรลับราชวงศ์เปี้ยนในการบันทึก เห็นชัดว่า…เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดของข้า”
ซูหลีอึ้งงัน การที่หยางเซียวตอบสนองรวดเร็วถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริงๆ เด็กหนุ่มผู้นี้อายุไม่มาก ภายนอกดูยียวนกวนประสาท ความคิดกลับเฉียบแหลมกว่าคนทั่วไป ขอเพียงให้เวลาที่เหมาะสมกับเขา อนาคตเขาจะต้องกลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังที่สุดของราชวงศ์เปี้ยนแน่นอน นางค้อมศีรษะ กล่าวเสียงเบา “สิ่งนี้เป็นของผู้นำสำนักมือสังหาร หากซูหลีเป็นผู้แสดงหลักฐาน ยากที่จะอธิบายที่มาที่ไป ฉะนั้น…ซูหลีจึงทำได้เพียงบังอาจขอร้องให้องค์ชายช่วย…”
“ไม่ใช่เรื่องลำบาก!” เขาหัวเราะชอบใจ ก่อนจะรับสมุดลับไป “ข้าต้องช่วยอาหลีน้อยอยู่แล้ว! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง! วางใจเถิด ข้าจะจัดการมันให้”
ซูหลีถอนหายใจ สายตากลับยังคงจดจ้องสมุดลับในมือเขา “อีกเดี๋ยวหม่อมฉันจะเชิญจิ้งอันอ๋องมา องค์ชายค่อยมอบให้หม่อมฉันต่อหน้าเขานะเพคะ”
“อืม” เขาพลิกหน้ากระดาษอย่างเนิบนาบ หัวเราะแล้วกล่าวว่า “จุ๊ๆ ในสมุดเล่มนี้มีความลับซ่อนอยู่มากมายทีเดียว…อาหลีน้อย เจ้าอยากรู้หรือไม่?”
ซูหลีสะดุดใจ แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึม “ภายหน้าหากมีโอกาส ซูหลีจะต้องขอคำชี้แนะจากองค์ชายสี่อีกแน่นอนเพคะ”
“ได้สิ แต่ถ้าจะแปลสิ่งที่อยู่ในนี้ทั้งหมด เกรงว่าต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีเชียวละ…มิสู้ติดตามข้ากลับราชวังเปี้ยน ข้าจะได้มีเวลาให้คำชี้แนะเจ้าทุกวันเป็นอย่างไร…” เขายิ้มคล้ายไม่จริงจัง แต่แววจริงจังที่พาดผ่านดวงตากลับแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ “องค์ชายสี่โปรดวางใจ เมื่อใดที่คดีของท่านหญิงหมิงอวี้สิ้นสุด ซูหลีจะนำสิ่งที่องค์ชายสี่ต้องการ ไปถวายบังคมและขอบพระทัยในน้ำพระทัยของพระองค์แน่นอนเพคะ”
“หลังคดีสิ้นสุด…อาหลี ระยะเวลาที่เจ้าว่ามันเลือนรางเกินไปแล้วนะ!” รอยยิ้มมุมปากอันทรงเสน่ห์ยังคงไม่ลดลง ดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งประชิดเข้ามาใกล้ จ้องหน้านางคล้ายต้องการมองทะลุความคิดของนางในยามนี้ “ถึงแม้ตอนนี้มีคำตอบแล้ว แต่นางอาจไม่ใช่คนร้ายตัวจริง หากเจ้าตามจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ และไม่อาจปิดคดีได้เสียที เช่นนั้นข้ามิต้องรอไปตลอดชีวิตหรอกหรือ?”
“เช่นนั้นองค์ชายคิดว่าควรทำเช่นไรดีเล่าเพคะ?”
“หนึ่งปี!” หยางเซียวจ้องหน้านาง กล่าวเสียงเด็ดขาด “ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งปี ถึงยามนั้นไม่ว่าคดีจะสิ้นสุดแล้วหรือไม่ เจ้าก็ต้องมาพบข้าที่แคว้นเปี้ยนพร้อมกับแหวนหยกขาววงนั้น!”
ซูหลีสบตาเขากลับอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางตอบเสียงขรึม “ได้เพคะ”
“สัญญาปากเปล่าไร้ความน่าเชื่อถือ เขียนหนังสือไว้เป็นหลักฐาน!” หยางเซียวกระดกคิ้วกล่าว
ซูหลียิ้มเล็กน้อย ยื่นมือจับพู่กันเขียนอักษรไว้เป็นหลักฐานทันที เสร็จแล้วก็ยื่นให้หยางเซียว
หยางเซียวยื่นมือไปรับมา ทว่ากลับไม่แม้แต่จะก้มหน้าอ่าน จู่ๆ ก็คลี่ยิ้ม ยามนี้ในดวงตาเปล่งประกายทรงเสน่ห์ของเขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์สับสนวุ่นวาย ฝ่ามือกำแน่นทันใด ครั้นนิ้วเรียวยาวทั้งห้ากางออกอีกครั้ง กระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะกระจายว่อนกลางอากาศดั่งปุยนุ่น
ซูหลีตกตะลึง เขามิใช่ต้องการอักษรเพื่อเป็นหลักฐานหรอกหรือ? แล้วเหตุใดต้องทำลายมันเช่นนี้?
คล้ายดูออกว่านางกำลังสงสัยเรื่องใด หยางเซียวจ้องหน้านางอย่างแน่วแน่ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าเชื่อเจ้า”
หัวใจซูหลีพลันสะดุด รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที ตั้งแต่ที่รู้จักเขามา ยังไม่เคยเห็นเขาจริงจังอย่างนี้สักครั้ง ราวกับสีหน้าทะเล้นเช่นนั้นของเขาได้สลักลึกลงในความทรงจำ ชั่วขณะหนึ่งจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก
นางใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องที่หม่อมฉันต้องการให้องค์ชายช่วย”
หยางเซียวสายตาไหวระริก เอ่ยถามว่า “เรื่องใด?”
“รบกวนองค์ชายช่วยเขียนหนังสือยืนยันเป็นหลักฐานประกอบการสืบสวนคดีด้วยเพคะ มิเช่นนั้นลำพังซูหลี คงมิอาจยืนยันความจริงที่ได้จากสมุดบันทึกเล่มนี้แน่นอน”
หยางเซียวพยักหน้า “ได้”
ซูหลีรีบออกคำสั่งให้คนไปเชิญตงฟางจั๋วมาเป็นสักขีพยานในเรื่องนี้ทันที
เพียงแต่ หลังจากที่ตงฟางจั๋วเห็นคำตอบสุดท้ายที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น เขาก็ตะลึงค้าง เขาเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ คล้ายไม่อยากเชื่อเรื่องจริงที่อยู่ตรงหน้า! นัยน์ตาของเขาคลุ้มคลั่ง ไอสังหารแผ่ปกคลุมรอบกาย นิ้วมือกำแน่นจนสั่นเทา แทบยืนอยู่ไม่ไหว คล้ายไม่อาจรีรออีกแม้เพียงครู่เดียว อยากกลับเมืองหลวงไปลากตัวคนผู้นั้นมารับโทษสูงสุดจนแทบทนไม่ไหว!
…………………………………………..