กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 164 พลิกคดีบนตำหนักจินหลวน (2)
ซูหลีเห็นเขาอารมณ์ไม่มั่นคง สายตาไหวระริกเล็กน้อย จึงเอ่ยปลอบตงฟางจั๋วเสียงขรึม “คนผู้นี้ใช้วิธีการเหี้ยมโหดไม่ธรรมดา กระทำผิดร้ายแรงจนไม่อาจให้อภัย ท่านอ๋องอย่าทรงวู่วาม รอพรุ่งนี้เดินทางกลับเมืองหลวงค่อยไปกราบทูลทุกเรื่องกับฝ่าบาท ให้พระองค์ออกราชโองการจึงจะสามารถไปจับตัวได้ ซูหลีเป็นขุนนางกองบังคับการ อย่างไรก็ต้องทำทุกอย่างตามขั้นตอน ก่อนจะถึงเวลานั้น เราควรระมัดระวังไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นนะเพคะ”
ตงฟางจั๋วเข่าอ่อน ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มีหรือเขาจะไม่เข้าใจเหตุผลเหล่านี้ เพียงแต่ความเจ็บปวดใจในหลายวันที่ผ่านมา ได้ทำให้หัวใจของเขาทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ค้นหาคำตอบมาเนิ่นนาน สุดท้ายคำตอบที่ได้กลับเหนือความคาดหมายถึงขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน ในเมื่อกล้าทำร้ายคนรักของเขา นางผู้นั้นก็ไม่ทางหนีพ้น!
เขาหลับตาแน่น พยักหน้าแรงๆ สูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวเสียงแหบพร่า “ได้!” เขาไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะถามว่าสมุดลับเล่มนี้ได้มาจากที่ใด
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองมีศัตรูและเป้าหมายเดียวกัน
วันที่สอง ทุกคนเตรียมพร้อมออกเดินทางอยู่หน้าเมืองเทียนเหมิน
หยางเซียวไม่ได้คุยอะไรกับซูหลีอีก เขานั่งอยู่บนหลังม้า อาภรณ์สีแดงดั่งเปลวเพลิงพลิ้วไหวตามสายลม ยังคงเป็นเด็กหนุ่มท่าทางสำมะเลเทเมา เขาตะโกนเสียงดังก้อง “อาหลีน้อย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนนะ!”
เขาหันมามองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง แววตาสื่อความหมายที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ ครั้นเห็นนางพยักหน้า เขาก็ยิ้มกว้างทันที ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งจูบผ่านอากาศมาให้นางอีกด้วย! จากนั้นเขาก็บังคับม้าให้หันกลับไป นำกลุ่มคนทะยานออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ระยะเวลาตอนเดินทางกลับเร็วกว่าตอนมาถึงหนึ่งเท่า นอกจากเวลาพักผ่อนยามกลางคืน เวลากลางวันทุกคนเร่งเดินทางอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งว่าข้างหลังมีกองทัพไล่ตามมา ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย ครั้นเดินทางมาถึงแคว้นเฉิง เวลาก็ล่วงเลยจนถึงช่วงพลบค่ำแล้ว
ตงฟางจั๋วนัดหมายกับซูหลีว่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกันในวันรุ่งขึ้น
เมื่อกลับถึงจวน ซูหลีตั้งอกตั้งใจเขียนบันทึกข้อความทั้งคืน หัวใจของนางเปรี้ยวฝาดยากบรรยาย เรื่องราวทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น นางแทบจะสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ความรู้สึกบอกนางว่า จวนเซ่อเจิ้งอ๋องที่บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่สมควรเจอลมพายุใดอีกแล้ว แต่เสียงหนึ่งในใจกลับเตือนนางอย่างเย็นชาว่า หากไม่อาจเปิดเผยความจริงได้ เช่นนั้นคำสาบานที่นางเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะลบล้างความอัปยศทั้งปวงไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตามเล่า? ยังมีเสด็จแม่ที่นางเคารพรักที่สุด เสด็จแม่ที่ตายในอ้อมอกนางเพราะมิอาจทนรับความจริงอีก เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หัวใจของนางราวกับถูกกรีดจนเลือดชุ่ม เจ็บปวดจนมิอาจพรรณนา
เบื้องบนราวกับทำให้นางต้องเลือกอยู่เสมอ คล้ายว่านางต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตลอดกาล…
มือบางพลิกหน้ากระดาษของสมุดลับเล่มนั้น ในนี้ซ่อนความลับอันน่าตกตะลึงไว้มากมายขนาดไหนกันแน่?
นางหลับไม่สนิททั้งคืน สะดุ้งตื่นเป็นพักๆ กระทั่งแสงยามรุ่งอรุณอาบไล้ขอบหน้าต่าง ซูหลีจึงค่อยลืมตาตื่นอย่างสะลึมสะลือ เหตุการณ์ที่นางต้องเผชิญในวันนี้เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา
รุ่งอรุณของปลายฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าสีครามสดใส ก้อนเมฆสีขาวเคลื่อนตัวทับซ้อน ทว่ากลับมิอาจลบล้างบรรยากาศเยือกเย็นไปได้ ซูหลีนั่งอยู่ในเกี้ยว มองดูใบไม้ที่พากันร่วงโรยจากกิ่งไม้ คล้ายมีกลิ่นอายของความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแฝงอยู่ ไม่อยากจากไป แต่ก็จำต้องร่วงลาอย่างเสียมิได้
ตงฟางจั๋วเดินเข้ามาจากประตูวังที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้ขี่ม้า ไม่มีผู้ติดตาม มองไปโดดเดี่ยวเดียวดาย เห็นชัดว่าอารมณ์สับสนยากสงบ ครั้นเห็นเกี้ยวของซูหลีมาถึง ก็ชะงักเท้าทันที
ทั้งสองสบตากัน ไม่ได้เอ่ยคำใด ราวกับคำพูดนับพันนับหมื่น ความเจ็บปวดและตกตะลึง ล้วนพรั่งพรูออกมาผ่านการสบตาครั้งนี้ พวกเขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในพระราชวังโดยไม่พูดคุยกันสักคำ
ณ ห้องหนังสือส่วนพระองค์
ฮ่องเต้อ่านบันทึกที่ซูหลีเรียบเรียงมาทั้งคืน รวมถึงหนังสือยืนยันที่หยางเซียวเขียนเองกับมือ ถึงแม้องค์ชายสี่ผู้นั้นจะดูเหลาะแหละไม่เอาไหน ทว่ากลับเขียนหนังสือได้ดี อักษรเหล่านั้น รวมถึงตราประทับสีแดงท้ายหนังสือ ล้วนส่งเสริมให้บันทึกข้อความของซูหลีมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งเครียด บรรยากาศคล้ายพายุฝนกำลังตั้งเค้า เขาพับบันทึกข้อความกระแทกกับโต๊ะเสียงดัง สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือน กล่าวด้วยสุรเสียงเยือกเย็น “พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรี นางอวี้หลิงหลงนั่น!”
ตงฟางจั๋วดวงตาแดงก่ำ ไอพิฆาตแผ่กำจายรอบกาย เขาทิ้งตัวคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง กล่าวเสียงแหบพร่าด้วยความคับแค้น “ลูกขอร้องให้เสด็จพ่อเขียนพระราชโองการทันที ลูกจะไปจับตัวนางแพศยาผู้นั้นมาลงโทษด้วยตนเอง!”
หลังจากที่หลีซูตาย เขายากจะข่มตาหลับค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่า ความเจ็บปวดและความสำนักผิดกัดกินหัวใจของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยามกลางวันยังต้องแสร้งทำเป็นว่าปกติดี ปั้นหน้ายิ้มยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น เวลานี้รู้ตัวคนร้ายแล้ว เขารู้สึกราวกับตนเองหาทางระบายความรู้สึกทั้งหมดเจอแล้ว หวังเพียงว่าจะสามารถจับตัวนางมาสอบสวนและทรมานให้สาแก่ใจโดยเร็ว!
ซูหลีก้มหน้าคุกเข่าอยู่บนพื้น เนิ่นนานก็ยังไม่ได้ยินฮ่องเต้กล่าวคำใด ในใจอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้
ขณะที่นางกำลังจะเปิดปากอย่างลังเล กลับได้ยินฮ่องเต้กล่าวเสียงขรึม “ถ่ายทอดราชโองการ สั่งให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมารวมตัวกันที่ท้องพระโรงเดี๋ยวนี้!”
แสงแดดฤดูใบไม้ผลิในยามบ่ายคล้อยสาดส่องเข้ามาในประตูใหญ่อันสูงตระหง่าน ตำหนักจินหลวนครั้นต้องแสงตะวันก็ส่องแสงระยิบระยับสะดุดตา เหล่าขุนนางยืนสงบนิ่ง ในใจกลับกระสับกระส่าย เพิ่งจะแยกย้ายออกจากท้องพระโรงไม่นาน ก็ถูกเรียกตัวกลับมา เรื่องใดกันที่ทำให้ฝ่าบาทร้อนใจถึงเพียงนี้ ถึงขนาดที่ไม่อาจทนรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ได้?
มีคนแอบเหล่มองเงียบๆ บนบัลลังก์อันสุกสกาว ฮ่องเต้นั่งองอาจผึ่งผายอยู่บนนั้น สีพระพักตร์ยังคงยากแท้หยั่งถึงดังเช่นวันวาน ฮองเฮานั่งอยู่บนพระที่นั่งที่เยื้องลงมาด้านขวาของฝ่าบาท สีหน้าสงบนิ่ง
สายตาเคร่งขรึมของฮ่องเต้กวาดมองเหล่าขุนนางในตำหนักช้าๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุด
ซูหลีหลุบตาต่ำ ไม่วอกแวก นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าหัวใจพลันหนักอึ้ง เรื่องที่หลีซูถูกวางแผนลอบทำร้ายจะสามารถพลิกคดีได้สำเร็จหรือไม่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับวันนี้
นางสัมผัสได้ถึงสายตาอันคุ้นเคยที่ทอดมองมาจากเบื้องหน้า ไม่ต้องเงยหน้ามอง นางก็รู้ว่าเป็นผู้ใด แพขนตาหนากระเพื่อมเบาๆ ช้อนตาขึ้นอย่างเงียบงัน สบตากับตงฟางเจ๋อที่กำลังมองมาอย่างอ่อนโยนพอดี
ท่าทางสงบนิ่งและเป็นตนเองของเขา ราวกับมีเวทมนต์ที่สามารถทำให้ความกังวลทั้งปวงในใจของนางสงบลงได้
ด้านนอกตำหนัก เสียงขานรายงานเล็กแหลมดังขึ้น “จิ้งอันอ๋องเข้าเฝ้า~~~”
ตงฟางจั๋วสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาในตำหนักพร้อมกับกลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่กำจายอยู่รอบตัว ก่อนจะค้อมกายคารวะ และกล่าวเสียงดัง “ลูกได้ทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อ พาผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมาที่ตำหนักแห่งนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หลีเฟิ่งเซียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นเพียงชายารองอวี้หลิงหลงกับบุตรสาวหลีเหยากำลังเดินเข้ามาในตำหนักอย่างระมัดระวัง แม่ลูกทั้งสองสีหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา ทว่ากลับพยายามรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง เขาพลันตึงเครียด ลางสังหรณ์บางอย่างพลันบังเกิดในใจ
ทั้งสองคุกเข่าลงบนพื้น ถวายบังคมฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ”
ฮ่องเต้กลับไม่ได้สั่งให้พวกนางลุกขึ้น จ้องมองอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเอ่ยปาก “เจ้าก็คือนางอวี้ ชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋อง?”
อวี้หลิงหลงหมอบกับพื้น ไม่กล้าหายใจแรง ในใจพรั่นพรึงสุดแสน ไม่รู้ว่าจู่ๆ วันนี้ถูกเรียกตัวมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักเป็นเพราะเรื่องใดกันแน่ ตงฟางจั๋วบุกเข้าไปในจวนอ๋องโดยตรงด้วยสีหน้ามืดครึ้ม แต่ไม่ได้แจ้งอะไรให้ทราบแม้แต่น้อย ครั้นได้ยินฮ่องเต้ถาม ก็รีบตั้งสติ แล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันก็คือนางอวี้ ชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”
…………………………………………..