กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 165 พลิกคดีบนตำหนักจินหลวน (3)
“เงยหน้าขึ้นมา!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเข้ม
เสียงอันทรงพลังของโอรสแห่งสวรรค์ดังก้องไปทั่วตำหนัก
อวี้หลิงหลงตัวสั่นสะท้าน พยายามข่มกลั้นอาการสั่นเทาเพราะความหวาดกลัวในใจเอาไว้ บังคับตนเองให้เงยหน้าขึ้น ครั้นสบตากับสายตาคมปลาบบีบคั้นผู้คนที่ทอดมองลงมา ก็ตกใจจนต้องก้มหน้าทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองอีก
“รู้หรือไม่ วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพราะเรื่องใด?”
“หม่อมฉัน…ไม่ทราบเพคะ”
“ไม่รู้อย่างนั้นหรือ! หมิงซี!”
“เพคะ ฝ่าบาท” ซูหลีก้าวออกจากแถวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หมุนกายไปทางอวี้หลิงหลง กล่าวเสียงแช่มช้า “หม่อมฉันได้รับพระบัญชาให้สืบคดีที่ท่านหญิงหมิงอวี้ถูกลอบทำร้าย และได้รับเบาะแสของคนร้ายที่ฆ่าท่านหญิง จึงเดินทางไปแคว้นเปี้ยนเพื่อนำหลักฐานกลับมาโดยเฉพาะ ยามนี้หลักฐานที่อยู่ในมือหม่อมฉันเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารท่านหญิงหมิงอวี้ ก็คือพระชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋อง…พระชายารองอวี้!”
ประโยคสุดท้ายที่ซูหลีกล่าว ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เหล่าขุนนางที่อยู่ในตำหนักต่างก็ตกตะลึง พากันหันไปมองพระชายารองผู้มีรูปร่างบอบบางและหน้าตางดงามที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางตำหนักใหญ่ผู้นั้น จริงดังภาษิตที่ว่ามิอาจตัดสินคนจากรูปร่างภายนอก นึกไม่ถึงว่านาง…จะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
อวี้หลิงหลงตกใจจนเผลอเงยหน้า สีหน้าซีดเผือด แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเพิ่งตั้งสติได้ นางส่ายหน้าอย่างแตกตื่นลนลาน ร้องปฏิเสธไม่หยุด “อะไรนะ? ไม่! นี่มันเป็นไปไม่ได้! ฝ่าบาท โปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเพคะ!”
พระชายารองจวนอ๋องวางแผนลอบสังหารท่านหญิงซึ่งเป็นบุตรีของภรรยาเอกในจวน เป็นโทษร้ายแรงถึงเพียงไหนทุกคนย่อมรู้ดี!
มองดูแม่เลี้ยงที่นางเคยอาศัยอยู่ด้วยทั้งเช้าและเย็นตรงหน้า หัวใจซูหลีเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนยากแยกแยะ ไม่ว่าอย่างไรซูหลีก็ไม่มีทางคาดคิด ว่าคำตอบสุดท้ายที่หยางเซียวเขียนออกมา จะเป็นนาง!
อย่างไรนางก็ไม่มีวันเข้าใจ อวี้หลิงหลงมีแรงขับเคลื่อนใดในการลอบสังหารหลีซู! ยามนี้ครั้นเห็นนางแก้ต่างให้ตนเองอย่างร้อนใจ ชั่วขณะหนึ่ง ซูหลีเองก็ยากจะโต้แย้ง นางจ้องมองอวี้หลิงหลงด้วยสายตาลึกซึ้ง ราวกับต้องการเข้าไปในสมองของฝ่ายตรงข้ามเพื่อค้นความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น!
ซูหลียังไม่ทันพูดอะไร ตงฟางจั๋วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ความแค้นที่เขาทนเก็บมาหลายวัน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ระบาย “หลักฐานอยู่นี่แล้ว กระดาษสีขาวอักษรสีดำ ยังพยายามแก้ต่างอีกงั้นหรือ! เบิกตาดูให้ชัดเจน! บนนี้เขียนไว้ว่าอย่างไร?!” บันทึกข้อความแผ่นนั้นถูกเขาแย่งไปจากมือเกากงกง แขนเสื้อโบกสะบัด ขว้างใส่หน้าอวี้หลิงหลงอย่างไม่ไว้หน้า!
บนกระดาษบางๆ มีอักษรที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีดำไม่กี่บรรทัด ชื่อของอวี้หลิงหลงเด่นหราอยู่บนนั้น สะดุดตาทันทีที่กวาดตาอ่าน ตราประทับสีแดงขององค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนที่อยู่ตรงท้าย แดงสดดั่งโลหิต พาให้ใจสั่นสะท้าน!
อวี้หลิงหลงกำกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ชื่อที่อยู่บนบันทึกข้อความเปรียบเสมือนแผ่นเหล็กร้อนๆ ที่ทาบลงบนหัวใจนาง พาให้ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งดวง สีเลือดฝาดบนดวงหน้างามจางหายไปจนสิ้น นางส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางตะโกนเสียงแหลม “ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่เพคะ หม่อมฉันถูกปรักปรำ!”
หลีเหยาที่อยู่อีกด้านหนึ่งเองก็เห็นบันทึกข้อความแล้ว นางร้องตกใจออกมาอย่างลืมตัว ดวงหน้างามสล้างซีดเผือด ตกใจจนกล่าวคำใดไม่ออก!
“ปรักปรำ? ผู้ที่ถูกปรักปรำอย่างแท้จริงก็คือหลีซู! ท่านรีบสารภาพมาเสียเดี๋ยวนี้! เหตุใดจึงต้องวางแผนชั่วปานนี้ทำร้ายนาง?!” นึกถึงหลีซู หัวใจของตงฟางจั๋วเจ็บปวดอย่างรุนแรง ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด แทบอยากจับนางมาสับร่างเป็นพันๆ ชิ้นเสียเดี๋ยวนี้!
หลีเฟิ่งเซียนข่มกลั้นความตกตะลึงในใจ รีบก้าวเท้าออกจากแถวอย่างลนลาน เห็นชัดว่าสูญเสียท่าทางสุขุมในยามปกติ เขากล่าวเสียงร้อนใจ “ฝ่าบาท ใช่มีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หลิงหลงแม้ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของหลีซู แต่นางปฏิบัติกับหลีซูเฉกเช่นลูกแท้ๆ มาโดยตลอด ทั้งรักและใส่ใจ นางไม่มีทางเป็นคนร้ายที่ลอบสังหารหลีซูอย่างแน่นอน! ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใช่แล้วเพคะ มารดาของหม่อมฉันมีจิตใจเมตตา ไม่มีทางเป็นผู้บงการแผนร้ายอย่างแน่นอน! ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างเป็นธรรมด้วยเพคะ!” แม้แต่หลีเหยาที่เป็นเด็กรู้ความ มีมารยาทมาโดยตลอด ยามนี้ก็ร้อนรนจนลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองอยู่ที่ใด ดวงตางามของนางมีน้ำตาเอ่อล้น เห็นชัดว่าลนลานจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี นางเอาแต่กำแขนเสื้อของอวี้หลิงหลงไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหายตัวไปจากตรงนี้ พร้อมกับแก้ต่างให้มารดาตัวเองอย่างร้อนใจ
“ขอบังอาจถามท่านหญิงหมิงซี หลักฐานนี้ไม่ทราบว่าได้มาจากที่ใด?” หลีเฟิ่งเซียนสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนถามเสียงขรึม
ซูหลีควบคุมอารมณ์ ตอบอย่างใจเย็น “หนังสือยืนยันฉบับนี้ เป็นองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนทรงเขียนขึ้นด้วยพระองค์เอง…”
ยังเอ่ยไม่จบประโยค หลีเฟิ่งเซียนก็ค้านวาจาของนางทันที “ตั้งแต่พิธีคัดเลือกพระสวามี ทุกคนล้วนรู้ว่าองค์ชายสี่หยางเซียวผู้นั้นเหลาะแหละไม่เอาไหน วาจายืนยันที่เขาเขียนขึ้นมา มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดกัน?”
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าทรงเคลือบแคลงหนังสือยืนยันฉบับนี้หรือเพคะ?” ซูหลีพลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งใจ
ตงฟางจั๋วเห็นหลีเฟิ่งเซียนปกป้องอวี้หลิงหลง แล้วยังเอ่ยวาจาตั้งข้อสงสัยกับซูหลี เพลิงโทสะพลันลุกท่วมใจ เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กัดฟันกล่าวว่า “หนังสือยืนยันฉบับนี้ข้านั่งดูหยางเซียวเขียนเองกับตา! เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวเช่นนี้ต้องการบอกว่าข้าสร้างเรื่องลวงเพื่อพลิกคดีใช่หรือไม่?”
เห็นตงฟางจั๋วหน้าตาเกรี้ยวกราด อวี้หลิงหลงหน้าซีดทันใด ว่าไปแล้ว นางถือว่ามีศักดิ์เป็นน้าของตงฟางจั๋ว นางและฮองเฮาเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ตั้งแต่แต่งเข้าราชวงศ์ ฮองเฮาก็ไม่มีญาติอยู่ในเมืองหลวงเลยสักคน จนกระทั่งหลีเฟิ่งเซียนสู่ขออวี้หลิงหลงเป็นชายารองมาอยู่เมืองหลวง ทั้งสองมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ตงฟางจั๋วปฏิบัติตนต่อนางอย่างเกรงอกเกรงใจ และมีมารยาทเสมอมา นึกไม่ถึงวันนี้กลับกลายเป็นเสมือนศัตรูก็ไม่ปาน
หลีเฟิ่งเซียนตอบเสียงขรึม “ข้าย่อมมิกล้า! เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิตคน ถึงแม้เป็นคดีฆาตกรรม ก็สมควรได้รับสิทธิ์โต้แย้งเพื่อแก้ต่าง!” เขาอดทนและข่มกลั้นอย่างสุดกำลัง ทว่าในน้ำเสียงก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
หัวใจของซูหลีพลันขมขื่นทันใด ความรู้สึกขมขื่นนั้นกระจายไปตามชีพจร พาให้ร่างกายนางชาไปทั้งตัว รู้ทั้งรู้ว่าวาจาที่หลีเฟิ่งเซียนกล่าวออกมา มิใช่ว่ามิสมควร แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นและผิดหวัง วันนั้นยามที่หลีซูถูกปรักปรำและฝังศพในพื้นที่ห่างไกลกันดาร นางไม่เห็นว่าเสด็จพ่อจะลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แต่ยามนี้ยังไม่ทันเกิดเรื่องใดกับอวี้หลิงหลง เขาก็วางท่ากล่าววาจาที่เต็มไปด้วยเหตุผลและสัจธรรม น้ำเสียงแสดงออกถึงการปกป้องอย่างเต็มที่
นางนิ่งงัน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เสด็จพ่อที่อยู่ตรงหน้าราวกับกลายเป็นคนแปลกหน้า ชั่วขณะหนึ่ง สายสัมพันธ์ลึกซึ้งในอดีตระหว่างพ่อลูกคล้ายจางหายไปจนสิ้น มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่นางถามตนเองในใจ ว่าคนตรงหน้าใช่เสด็จพ่อที่เคยรักและหวงแหนนางที่สุดจริงหรือ? ใช่เสด็จพ่อที่เคยอ่านเขียนหนังสือเป็นเพื่อนนางจริงหรือ? เหตุใดหลังจากที่นางถูกลอบทำร้ายจนตายในวันแต่งงาน ทุกอย่างจึงได้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเช่นนี้?
เสียงเย็นชาของซูเซียงหรูดังมาจากเบื้องหลัง “เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เพื่อพลิกคดีของท่านหญิงหมิงอวี้ บุตรสาวของกระหม่อมไม่หลับไม่นอน ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใด ทุกท่านล้วนรู้ดี! หากมิใช่ท่านหญิงหมิงอวี้มาเข้าฝันบุตรสาวของกระหม่อมทุกค่ำคืน เกรงว่าท่านอ๋องคงยังไม่ทราบว่าท่านหญิงหมิงอวี้ถูกปรักปรำและถูกสังหาร! ยามนี้นางพลิกคดีเพื่อบุตรสาวของท่าน ทว่ากลับได้รับความเคลือบแคลงจากท่านเป็นสิ่งตอบแทน ขอบังอาจถามท่านอ๋อง นี่เป็นหลักธรรมใดมิทราบ?”
“ท่านอัครเสนาบดีกล่าวถูกต้อง! พระชายารองอวี้อ้างว่าถูกปรักปรำ! ข้ากลับอยากถาม เหตุใดหยางเซียวไม่เขียนชื่อข้า ไม่เขียนชื่อเซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่เขียนชื่อผู้ใดก็ตามที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ แต่กลับเขียนชื่ออวี้หลิงหลง? พวกเขาสองคนไม่เคยรู้จักกัน แล้วเหตุใดหยางเซียวต้องคิดให้ร้ายท่าน? คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว ก็คือนางเป็นผู้ร้ายตัวจริง! หลีซูถูกลอบทำร้ายจนตายไปแล้ว เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านในฐานะบิดาของนาง ไม่ร้องขอความเป็นธรรมให้นางก็แล้วไป กลับตั้งข้อสงสัยกับเรื่องจริงที่เห็นชัดกันอยู่แล้วเช่นนี้ ท่าน…ช่างทำตัวไม่สมเป็นบิดาเอาเสียเลย!” ตงฟางจั๋วเพลิงโทสะลุกท่วมฟ้า สูญสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะ วาจารุนแรง ระบายความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกออกไปจนสิ้น
………………………………………………….