กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 166 นี่หรือคือความจริง!? (1)
ซูหลีหัวใจพลันสะดุด นึกไม่ถึงว่าตงฟางจั๋วจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจนางออกไปจนหมด
บนตำหนักใหญ่พลันเงียบงันไร้เสียง สถานการณ์ในยามนี้ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว อัครเสนาบดีซูกับเซ่อเจิ้งอ๋องความเห็นไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ทุกคนล้วนรู้ดี แต่เพื่อท่านหญิงหมิงอวี้ จิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋วถึงกับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างเปิดเผย เรื่องนี้ทำให้เหล่าขุนนางตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า!
นึกไม่ถึงว่าท่านหญิงหมิงอวี้จะมีอิทธิพลต่อจิ้งอันอ๋องถึงเพียงนี้ โฉมสะคราญแม้จากโลกนี้ไปแล้ว ภาพงดงามยังคงตราตรึงอยู่ในใจ คู่รักที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก กลับถูกคนชั่ววางแผนลอบทำร้ายจนต้องตายจากพลัดพราก ช่างน่าเสียดายจริงๆ!
หลีเฟิ่งเซียนสะท้านไปทั้งร่าง ประกายน้ำตาพาดผ่านในดวงตา ผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก กล่าวพึมพำ “ข้าหรือไม่อยากร้องขอความเป็นธรรมให้ซูซู? ฮ่าๆๆ!” สายตาของเขาเจ็บปวดรวดร้าว ความจนใจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตา สูดหายใจหลายครั้ง คล้ายกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ที่ใกล้ระเบิดออกมา เอ่ยเสียงแหบพร่า “ซูซูเป็นบุตรสาวของข้า เป็นแก้วตาดวงใจที่ข้าอุ้มชูมากับมือ นางตาย มีหรือที่ข้าจะไม่ปวดใจ? ท่านถามว่าเหตุใดข้าจึงต้องตั้งคำถาม? ยามนี้ทั้งภรรยาและบุตรสาวข้าล้วนตายจาก ข้าสูญเสียทั้งซูซูและซีจิน บ้านไม่เหมือนบ้าน ข้างกายเหลือเพียงหลิงหลงและเหยาเอ๋อร์ ยามนี้แม้แต่หลิงหลงก็ยังถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกร ข้าไม่อยากทำผิดเป็นหนที่สองอีกแล้ว! ไม่อยากวู่วามปักใจเชื่อ จึงได้ตั้งคำถามขึ้นมาเช่นนี้!”
น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อยสิ้นหวัง พาให้หัวใจของซูหลีที่เพิ่งจะมั่นคงแหลกสลายภายในพริบตา เสด็จพ่อ…ก็มียามที่สิ้นไร้หนทางเช่นนี้เหมือนกันหรือ? นางมิอาจเข้าใจความรู้สึกของตนเองที่มีต่อหลีเฟิ่งเซียนได้ในตอนนี้ รู้สึกเพียงหัวใจนางหนักหน่วงเหมือนก้อนหิน เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน ราวกับจมดิ่งลงไปในดินแดนชำระบาป
หลีเฟิ่งเซียนพยายามตั้งสติอย่างรวดเร็ว ถามต่อว่า “หลักฐานที่ดีที่สุดที่จิ้งอันอ๋องกล่าวถึง ก็คือหนังสือยืนยันที่หยางเซียวเขียนขึ้นเองกับมือ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เพียงแต่หยางเซียวรู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่สังหารหลีซูคืออวี้หลิงหลง?” หลีเฟิ่งเซียนตอบกลับอย่างชาญฉลาด เลี่ยงเรื่องพยานหลักฐาน แล้วถามเข้าประเด็นสำคัญทันที
ซูหลียิ้มอย่างใจเย็น ในใจเจ็บปวดดั่งมีมีดกรีดแทง นางต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อพลิกคดีด้วยตนเองก็แล้วไป แต่นี่ผู้ที่ตั้งคำถามกลับเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของนางเอง ช่างเป็นเรื่องที่…ตลกร้ายยิ่งนัก
นางปิดบังความร้าวรานในใจอย่างสุดความสามารถ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทูลท่านอ๋อง หลักฐานของคดีนี้มีสองชิ้น ชิ้นแรกคือผ้าไหมขาวที่เจิ้นหนิงอ๋องได้มายามไล่ล่าเหล่าสมุนของสำนักเฉินเหมินที่เหลืออยู่ ชิ้นที่สองคือสมุดลับเล่มหนึ่งที่องค์ชายสี่หยางเซียวได้มาด้วยความบังเอิญ”
หลีเฟิ่งเซียนตวัดสายตาคมปลาบไปยังตงฟางเจ๋อ สีหน้าเขาไร้คลื่นอารมณ์ เพียงมองซูหลีนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “ข้อความที่บันทึกอยู่บนผ้าไหมขาว เป็นสัญลักษณ์ที่มือสังหารในสำนักเฉินเหมินใช้บันทึกภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมีชื่อของท่านหญิงหมิงอวี้อยู่ และในสมุดลับที่องค์ชายสี่มี ข้อความที่ถูกบันทึกไว้ คือชื่อของผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจสั่งฆ่า! เมื่อนำทั้งสองอย่างมารวมกัน ก็สามารถยืนยันขั้นตอนการซื้อตัวมือสังหารเพื่อฆ่าคนได้อย่างชัดเจนเพคะ!”
ทุกคนล้วนอึ้งค้าง ยามนี้ ตงฟางเจ๋อที่เงียบมาโดยตลอดค่อยๆ ก้าวออกจากแถว กล่าวเสียงขรึม “ท่านหญิงหมิงซีกล่าวถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นพยานได้ ผ้าไหมขาวเป็นสิ่งของในครอบครองของเว่ยซู่ หนึ่งในสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักเฉินเหมินจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีพลันรู้สึกหัวใจเปรี้ยวฝาด ดวงตาแดงก่ำ สมุดลับเล่มนั้นตงฟางเจ๋อไม่เคยเห็นสักครั้ง ทว่าในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ เขากลับยังคงก้าวออกมากล่าววาจารับรองเพื่อนาง!
ผู้ตั้งคำถามคือบิดาบังเกิดเกล้าของนางเอง คนที่คอยช่วยเหลือกลับเป็นคนนอกที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน
“หากข้าจำไม่ผิด เจิ้นหนิงอ๋องบุกทำลายรังของเฉินเหมินจนราบคาบเมื่อหลายเดือนก่อน เช่นนั้นเจ้าของผ้าไหมขาวก็คงถูกสังหารไปนานแล้ว?” เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ตงฟางเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงค่อยพยักหน้าช้าๆ
“พยานตายไปแล้ว หากสรุปความโดยอาศัยวัตถุเพียงชิ้นเดียวเช่นนี้ มิใช่เป็นการด่วนตัดสินไปหน่อยหรือ?” หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบชาด “แม้ว่าข้าอยากพลิกคดีเพื่อบุตรสาวเพียงใด แต่ก็มิอาจใส่ความผู้บริสุทธิ์อีกคนเพียงเพราะเหตุนี้!”
อวี้หลิงหลงพลันร้องไห้โฮ ถึงแม้ยามปกติหลีเฟิ่งเซียนมิได้ปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นนัก แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ในหัวใจของเขา ก็ยังคงมีนาง! เขายังคงปกป้องนาง! ในวินาทีนี้เอง เรื่องหยุมหยิมในอดีตคล้ายไม่ได้เสียดแทงหัวใจนางขนาดนั้นอีกแล้ว ทุกอย่างราวกับกลายเป็นหมอกควันที่จางหายไปพร้อมกับคำพูดประโยคนี้ในพริบตา
ฮองเฮาเห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็อดทอดถอนใจอย่างจนใจไม่ได้
อวี้หลิงหลงน้ำตาพรั่งพรูดั่งสายพิรุณ นางมองฮองเฮาด้วยดวงหน้าอาบน้ำตา พลันขยับเข่าคลานไปหาฮองเฮาอย่างยากลำบาก เอื้อมมือไปดึงชายกระโปรงนาง แล้วร้องอ้อนวอน “ฮองเฮาเป็นพี่สาวของหลิงหลง หลิงหลงกลับมิเคยขอร้องอะไรจากฮองเฮาสักครั้ง ยามนี้หลิงหลงถูกคนปรักปรำ มิอาจแก้ต่าง ฮองเฮาทรงทนดูหลิงหลงไปตายง่ายๆ เช่นนี้ได้หรือเพคะ?!”
เสียงของนางโศกเศร้า ทุกคำพูดกรีดแทงหัวใจ ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง ฮองเฮาพลันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ควรทำเช่นไรดี นางหันหน้าไปอีกทาง สังเกตสีหน้าฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้กลับกำลังมองนางด้วยสายตาตึงเครียด! ราวกับกำลังรอดูว่านางจะจัดการเช่นไร
ฮองเฮาพลันสะดุ้งในใจ ต่อหน้าเหล่าขุนนางบนตำหนักจินหลวน หากไม่ไยดีแม้แต่น้อย คงเลี่ยงคำติฉินนินทาว่านางปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเย็นชาในภายหน้าได้ยาก แต่หากยื่นมือเข้าไปแทรกแซง…กระดาษขาวตัวอักษรดำที่เป็นหลักฐานชี้ชัดอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ จะพูดอะไรได้อีกเล่า?
หันมองอวี้หลิงหลงที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าซีดเผือดสะท้อนแววเศร้าโศก ในดวงตาแฝงความหมายลึกซึ้ง จ้องตรงมายังตนเอง ก็อดสะท้านไปทั้งใจไม่ได้ ฮองเฮารู้ดีแก่ใจ ผู้ร้ายไม่น่าจะเป็นอวี้หลิงหลง เพราะว่ายามนั้น เป็นนางที่มาแสดงเจตจำนงด้วยตนเองว่าเซ่อเจิ้งอ๋องประสงค์จะจัดงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์กับตงฟางจั๋ว หากเรื่องนี้ลุล่วงเมื่อใด ภายหน้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋องก็มีแต่จะรุ่งเรืองไม่มีที่สิ้นสุด นางมีแต่จะได้รับผลดีไปด้วย ไร้ผลเสีย แล้วจะหาเรื่องใส่ตัวด้วยการฆ่าหลีซูไปเพื่ออะไร?
ที่น่าสงสัย…เกรงว่าจะเป็นคนผู้นั้นที่มีเจตนาแอบแฝงมากกว่า!
“ท่านหญิงหมิงซี” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงค่อยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “เว่ยซู่ เจ้าของผ้าไหมขาวตายไปแล้ว อาศัยเพียงสิ่งของชิ้นเดียว จะเอาโทษหลิงหลง ดูเหมือนไม่ยุติธรรมเกินไปจริงๆ เพื่อความเป็นธรรม ยังมีคำถามมากมาย ที่ต้องถามให้กระจ่าง”
ฮองเฮาเป็นสตรีที่มีความคิดลึกล้ำ ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มีจุดประสงค์ ซูหลีเพียงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮองเฮามีข้อสงสัยใด ทรงถามหม่อมฉันได้ทุกเรื่องเพคะ”
ครั้นเห็นนางยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ฮองเฮาสายตาไหวระริก ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “จากที่ท่านหญิงกล่าวมาเมื่อครู่ ผ้าไหมขาวนี้เป็นสิ่งของในครอบครองของนักฆ่าเว่ยซู่ ข้าอ่านอยู่นาน ภาพที่ถูกวาดไว้ในนี้ประหลาดและซับซ้อนถึงเพียงนี้ พาให้ผู้คนสับสน ไม่อาจจินตนาการได้เลยแม้แต่น้อยว่าอักษรเหล่านี้บันทึกชื่อของผู้ร้ายที่สังหารท่านหญิงหมิงอวี้ไว้ สิ่งของที่ไม่มีใครอ่านออก เมื่อตกอยู่ในมือท่านหญิงหมิงซีและเจิ้นหนิงอ๋อง กลับสามารถเชื่อมโยงไปถึงคดีของท่านหญิงหมิงอวี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ พวกเจ้าทั้งสองช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก…” ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมใส ไม่ช้าไม่เร็ว ทว่าวาจาที่กล่าวออกมากลับเหมือนก้อนหินลูกใหญ่ที่ก่อให้เกิดคลื่นซัดสาด!
ครั้นวาจานี้ออกจากปาก กลุ่มคนบนตำหนักจินหลวนพากันตกตะลึง วาจานี้ของฮองเฮาบ่งบอกว่ากำลังสงสัยแรงขับเคลื่อนในการสืบคดีของตงฟางเจ๋อ! เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่หลีซูถูกฆ่า ก็เป็นเหตุทำให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล่มไม่เป็นท่า ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือเขา! แล้วตงฟางจั๋วก็เคยกล่าวในพิธีคัดเลือกพระสวามี ว่าตนเองมีเรื่อง ตงฟางเจ๋อไม่ผสมโรงด้วยก็ถือว่าดีแล้ว แต่นี่ยังลงทุนสืบคดีหลีซูอย่างไม่มีเหตุผลอีกงั้นหรือ? เกรงว่าจะมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่มากกว่า!
ตามคาด สายตาของฮ่องเต้พลันคมปลาบขึ้นหลายส่วน ตวัดมองไปที่ตงฟางเจ๋อซึ่งกำลังยืนอย่างสงบอยู่เบื้องล่าง
……………………………………………….