กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 170 นี่หรือคือความจริง!? (5)
ตงฟางจั๋วพลันคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้นทันใด กระบี่ยาวของทหารที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งพลันถูกดึงออกจากฝัก ตวัดจ่อไปที่ลำคออวี้หลิงหลงพร้อมไอสังหารรุนแรงอันไม่มีที่สิ้นสุด
ทุกคนพากันสูดหายใจด้วยความตกตะลึง เพื่อหลีซู จิ้งอันอ๋องสูญสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะ ถึงขั้นกล้าถืออาวุธต่อหน้าธารกำนัลบนตำหนัก
“จั๋วเอ๋อร์!” ฮองเฮาร้องด้วยความตกใจ
อวี้หลิงหลงร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม ในใจหวาดกลัวสุดขีด ทว่ากลับมิอาจเปล่งเสียงแม้สักคำ นางได้ยินหลีเฟิ่งเซียนถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ที่เจ้าพูด…ล้วนเป็นความจริงหรือ?”
นิ่งเงียบไปชั่ววินาที อวี้หลิงหลงใบหน้าไร้สีเลือด กัดฟันตอบ “จริงเพคะ”
ซูหลีร่างกายสั่นเทา แทบยืนไม่ไหว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ความจริงก็เป็นเช่นนี้เอง! ภายใต้รูปโฉมอันงดงามและบอบบางของอวี้หลิงหลง ซ่อนไว้ซึ่งหัวใจอันริษยาและบ้าคลั่ง!
“หลายปีมานี้ที่แท้เจ้าก็แสร้งทำเป็นคนมีคุณธรรมมีน้ำใจกว้างขวาง ทว่าในใจกลับริษยาที่ข้าทำดีกับซีจิน! ความเกลียดชังที่เจ้ามีควรมาลงที่ข้า เหตุใดต้องโหดเหี้ยมกับซูซูถึงเพียงนี้?! เจ้ารู้ว่าซีจินรักซูซูที่สุด นางสุขภาพอ่อนแอ หากซูซูเกิดเรื่อง ซีจินจะต้องปวดใจและสิ้นหวังแน่นอน! เจ้า! จิตใจช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” หลีเฟิ่งเซียนมิอาจข่มกลั้นความโศกเศร้าและโกรธแค้นในใจ
อวี้หลิงหลงหลุบตาอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องมองเห็นแต่เพียงความดีของพระชายา ความจริงใจที่หลิงหลงมีต่อท่านอ๋องกลับถูกท่านหมางเมินไม่ไยดี ทุกคราที่ท่านอ๋องมาหาหม่อมฉันก็เป็นเพราะถูกนางหมางเมิน แม้หม่อมฉันจะใจกว้างอีกเพียงใด ก็มิอาจรับได้ที่บุรุษอันเป็นที่รักละเมอเรียกชื่อสตรีอื่นยามหลับนอนกับตนเองอยู่เสมอ ตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย ท่านอ๋องจะให้หม่อมฉันทนอยู่ได้อย่างไรเล่าเพคะ?”
ตงฟางจั๋วตวาดด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ฉะนั้นเจ้าจึงวางแผนยุแหย่ ลอบทำร้ายหลีซู สุดท้ายก็ส่งนักฆ่าไปสังหารนาง?! ข้าจะฆ่านางแพศยาเช่นเจ้าเสีย!” อารมณ์ของเขาเดือดพล่านจนมิอาจควบคุม สะบัดแขนเงื้อกระบี่หมายจะแทงไปที่หน้าอกของอวี้หลิงหลง!
“จั๋วเอ๋อร์!” ฮองเฮาหน้าถอดสีด้วยความตกใจ รีบพุ่งตัวเข้าไปกอดตงฟางจั๋ว
“ท่านแม่!” ขณะเดียวกัน หลีเหยาก็ตะโกนร้องเสียงแหลม
“จั๋วเอ๋อร์! เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!” ฮ่องเต้ตบบัลลังก์มังกร ลุกพรวดด้วยความโกรธเกรี้ยว ชี้นิ้วเอ่ยเสียงดุดัน “เจ้าอย่าคิดว่าข้าโปรดปรานเจ้าเป็นพิเศษ แล้วจะสามารถกระทำการกำเริบเสิบสานในท้องพระโรงอย่างไรก็ได้! ดูตัวเจ้าในยามนี้สิ เพื่อผู้หญิงคนเดียว สภาพกลายเป็นอย่างไรไปแล้ว? ข้าอับอายแทนเจ้ายิ่งนัก! ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!”
ตงฟางจั๋วเจ็บปวดหัวใจจนมิอาจบรรยาย ประกายน้ำตาพาดผ่าน เขาหอบหายใจสุดชีวิต เหมือนกำลังพยายามใช้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่อันน้อยนิดข่มกลั้นความโกรธแค้น ฮองเฮากอดเขาไว้แน่น ครั้นเห็นเขาผ่อนแรง ก็รีบแย่งกระบี่ในมือเขา แล้วโยนไปอีกด้าน หัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็เริ่มตั้งสติได้
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นชา ตวาดเสียงเข้ม “ท่านหญิงหมิงซี!”
ซูหลีใบหน้าซีดเผือด รีบเก็บงำอารมณ์และความคิด รับคำเสียงขรึม “เพคะ ฝ่าบาท”
“คำสารภาพรับผิดของอวี้หลิงหลงมีสิ่งใดตกหล่นอีกหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท สิ่งที่ผู้ต้องสงสัยกล่าวมาละเอียดครบถ้วน ไม่มีเรื่องใดตกหล่นอีก จับตัวไปขังรอการพิจารณาโทษได้เลยเพคะ”
“ดี! นางอวี้หลิงหลง พระชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋อง ความคิดชั่วร้าย ลอบวางแผนทำร้ายท่านหญิงหมิงอวี้ ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะกระทำได้! ยามนี้ทั้งพยานหลักฐานพร้อมมูลครบถ้วน ไม่มีข้อโต้แย้งใดอีก นำตัวไปขังในคุกมืดทันที สามวันให้หลังให้นำตัวออกมารับโทษประหารสูงสุด! เพื่อเป็นตัวอย่าง!” ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะอ่านบันทึกคำสารภาพ ประกาศราชโองการอย่างขึ้งเคียดทันที
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ต่างพากันตื่นตะลึง นับตั้งแต่แคว้นเฉิงก่อตั้งมาหลายสิบปี มีเพียงสองคดีเท่านั้นที่ถูกตัดสินให้รับโทษสถานนี้ ดูท่าฝ่าบาทคงโกรธเกรี้ยวยากระงับโทสะ ถึงกับสั่งให้ประหารโดยใช้สว่านเจาะถ้ำ!
อวี้หลิงหลงพลันหัวเราะอย่างสิ้นหวัง นางดึงปิ่นปักผมด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าผ่ามาแทงคอตนเองดัง ‘ฉึก’ เครื่องประดับประณีตงดงามที่เดิมเป็นของประทินโฉมอิสตรีกลายเป็นอาวุธคร่าชีวิตในพริบตา!
เหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างตะลึงตาค้าง
เสียงกรีดร้องเล็กแหลมทำลายความเงียบในทันใด “ท่านแม่” หลีเหยากรีดร้องอย่างเจ็บปวด นางลุกขึ้นและพุ่งตัวเข้าไปประคองร่างของอวี้หลิงหลงที่กำลังล้มลงอย่างช้าๆ! นางพยายามใช้มือกดโลหิตที่พรั่งพรูออกมาดั่งน้ำพุ ทว่ากลับไร้ประโยชน์ พริบตาเดียวมือบอบบางของนางก็อาบชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง! หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย ทำได้เพียงขานเรียกอย่างอับจนหนทาง “ท่านแม่ ท่านแม่”
“เหยา เหยาเอ๋อร์ อย่าร้องไห้…” อวี้หลิงหลงนอนอยู่ในอ้อมอกของหลีเหยา พยายามรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย “ฟังคำแม่ ไม่ว่าต้องเผชิญเรื่องยากลำบากใด เจ้าก็ต้อง…มีชีวิตอยู่ต่อไป” นางหอบหายใจเบาๆ กล่าวเสียงแผ่ว “เด็กดี เด็กดี แม่ยังมีอีกหลายคำอยากพูด…กับเจ้า…เจ้า เจ้า…”
เสียงของนางอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ หลีเหยาสะอื้นไห้ไร้เสียง รีบก้มหัวลงไปหลายส่วน เงี่ยใบหูไปใกล้ริมฝีปากนาง ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาดั่งแมลงวันของนางกล่าวว่า “แม่มีเพียงกำไลหยกนี้ เจ้า…ชอบมันมานานแล้ว เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ดูต่างหน้า…หากมีเรื่องใด ให้ เข้าวังมาหาฮองเฮา นางต้องช่วยเจ้าแน่ จำไว้ กำไลหยกนี้ สำคัญมาก จงเก็บไว้ให้ดี…” นางถอดกำไลหยกออก แล้วยัดใส่มือของบุตรสาว สายตาเริ่มเลื่อนลอย
“เหยาเอ๋อร์รู้แล้วเพคะ” หลีเหยาน้ำตานองหน้า พยักหน้าไม่หยุด
ฮองเฮาเพิ่งได้สติ รีบสาวเท้าเดินไปนั่งข้างกายอวี้หลิงหลง กล่าวเสียงรวดร้าว “หลิงหลง! เหตุใดเจ้าจึง…” เอ่ยได้ครึ่งเดียว วาจาก็ถูกกลืนหายไปเพราะเสียงสะอื้น มิอาจเอ่ยคำใดได้อีก
พระราชโองการที่ฝ่าบาททรงประกาศต่อหน้าธารกำนัลมิอาจคืนคำ หากต้องถูกประหารด้วยสว่านเจาะถ้ำจริงๆ มิสู้ตายด้วยน้ำมือตนเองเสียดีกว่า!
อวี้หลิงหลงถอนหายใจเบาๆ ในตอนสุดท้าย ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือหลีเหยาไปวางตรงหน้าฮองเฮา ฮองเฮารีบกุมเอาไว้ กล่าวเสียงปนสะอื้น “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจหมดแล้ว จากนี้ไปเหยาเอ๋อร์ก็คือธิดาของข้า เจ้าวางใจเถิด!”
อวี้หลิงหลงคลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่หันไปมองบุรุษที่ทำให้นางหดหู่เศร้าใจมานานกว่าสิบหกปีแม้แต่น้อย น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินจากหางตา ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง
“ท่านแม่!”
“หลิงหลง!”
บนตำหนักจินหลวนอันศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงลอยโชยไปทั่ว การพิจารณาคดีในครั้งนี้พาให้ผู้คนรู้สึกหัวใจหนักอึ้งอย่างไม่มีที่เปรียบ ซูหลีมองดูร่างของอวี้หลิงหลงที่ไร้ซึ่งวิญญาณอย่างเหม่อลอย นางกลับพบว่าหัวใจนางในยามนี้ว่างเปล่าเหลือเกิน
ความจริงที่นางทุ่มเททุกสิ่งเพื่อตามหา กลับโหดร้ายถึงเพียงนี้ นางทุ่มเทกายใจเพื่อลบล้างมลทินให้ตนเองจนสำเร็จ แต่เหตุใดยามนี้กลับไม่รู้สึกถึงการปล่อยวางหรือผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ความจริงอันโหดร้ายหนักหน่วงดั่งหินผา กดทับหัวใจนางจนแทบหายใจไม่ออก หวนนึกถึงเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่เคยมีในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ครอบครัวพร้อมหน้า ยามนี้กลับเหลือเพียงเสด็จพ่อและเหยาเอ๋อร์แค่สองคน แล้วยังมีตัวนางที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการยืมร่างผู้อื่น มีบ้านแต่มิอาจหวนคืน!
หันไปมองบิดาบังเกิดเกล้าของตนเอง เซ่อเจิ้งอ๋องที่อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี แต่เพราะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจหลายต่อหลายครั้ง เส้นผมจึงเริ่มหงอกขาว ใบหน้าซีดดั่งกระดาษ ร่างสูงใหญ่เริ่มค่อมงอ น้ำตาตรงหางตาของเขา ไม่รู้ว่าหลั่งเพื่อหลีซูและมารดา หรือเพื่ออวี้หลิงหลงที่ปลิดชีพตนเอง?
ซูหลีสมองขาวโพลนไปหมด
ฮ่องเต้สั่งทหารให้นำศพของอวี้หลิงหลงออกไป เสียงร่ำไห้ปานใจจะขาดของหลีเหยาเสียดแทงแก้วหูนาง โลหิตสีแดงเข้มที่อาบเป็นวงกว้างบนตำหนักจินหลวน ได้ทำให้บ่ายคล้อยที่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้าของวันนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นางสับสนมึนงง แม้แต่ผู้ใดกล่าวสิ่งใดต่อจากนั้น นางก็ล้วนได้ยินไม่ชัดเจน ได้แต่เดินออกจากตำหนักจินหลวนไปทีละก้าวๆ จนในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรง สะดุดล้มลงบนพื้น
………………………………………………..