กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 171 จิ้งอันอ๋องสำนึกผิด (1)
ท้องฟ้าสีครามสดใส หัวใจซูหลีกลับจมดิ่งสู่ความมืดมิด
ในที่สุดนางก็มาเซ่นไหว้เสด็จแม่อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างใดๆ อีก เรื่องราวประหลาดของดวงวิญญาณที่มาเข้าฝัน ทำให้ขณะเดียวกันกับที่คดีหลีซูถูกพลิก ในสายตาของชาวโลก หลีซูและซูหลีก็ได้กลายเป็นคนคนเดียวกันจนไม่อาจแยกจากกันมานานแล้ว!
จุดธูปให้มารดา แล้วซูหลีก็เดินออกจากห้องโถงสุสานบรรพบุรุษสกุลหลี เดินมาจนถึงด้านหน้าสุสานของหรงซีจิน
ศิลาเขียวพื้นอิฐ ใต้ต้นไม้ที่ออกดอกสีเหลือง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
ซูหลีชะงักเล็กน้อย ฝีเท้าหยุดกึก ทันทีที่คดีหลีซูสิ้นสุด เรื่องแรกที่นางทำก็คือมาเซ่นไหว้หลุมศพเสด็จแม่ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนมาเร็วกว่านางอีก
ครั้นรู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนมา จิ้งหวั่นจึงหันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นนาง ก็อึ้งงันไปทันที ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยวาจาใด
ซูหลีก้าวไปข้างหน้าช้าๆ คุกเข่าลงข้างกายจิ้งหวั่น มองดูหลุมศพของเสด็จแม่ นางกล่าวในใจอย่างไร้เสียง ‘เสด็จแม่เพคะ ซูซูมาเยี่ยมท่านแล้ว! ยามนี้ลูกไร้ซึ่งมลทินใดๆ แล้ว เสด็จแม่หลับให้สบายเถิดนะเพคะ!’
ก้มคำนับไปทางหลุมศพพระชายาสามหน หัวใจของนางกลับไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้จะลบล้างมลทินได้แล้ว ผู้ร้ายก็จับตัวได้แล้ว แต่มารดาของนางกลับไม่อาจฟื้นคืนมา! ความเจ็บปวดและเศร้าโศกภายในใจบีบคั้นหัวใจนางจนหายใจไม่ออก ซูหลีก้มคำนับหนสุดท้าย แต่เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมลุกขึ้น
ลมบนภูเขาพัดพาเอาใบไม้ที่ร่วงโรยลอยผ่านเรือนร่างบอบบางของนางไปเบาๆ พาให้บรรยากาศเศร้าโศกรอบกายนางแผ่ปกคลุมไปทั่วภูเขาซีซาน
สายตาจิ้งหวั่นสั่นระริกเล็กน้อย ยกมือตบไหล่นางเบาๆ เดิมทีนางทุ่มเททุกอย่างเพื่อสืบหาความจริงของคดีนี้ แต่กลับไร้ซึ่งวี่แวว นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับถูกเด็กสาวนางนี้คลี่คลายได้ในที่สุด หรือบางที นี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์
ซูหลีเงยหน้า มองเห็นแววปลอบโยนและรักใคร่ที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของจิ้งหวั่นอย่างไม่ปิดบัง
ซูหลีพลันจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ ภาพตรงหน้าราวกับย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน นางเพิ่งจะอายุสิบปี เพราะการฝึกวรยุทธ์เป็นเรื่องที่เหนื่อยเหลือเกิน นางจึงขอร้องเสด็จแม่ว่าไม่อยากฝึกอีกแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับถูกเสด็จแม่ตำหนิอย่างรุนแรง! นั่นเป็นครั้งแรกที่เสด็จแม่ใช้อารมณ์กับนาง นางปวดใจมาก จึงวิ่งไปแอบร้องไห้ในสวนดอกไม้เล็กๆ เพียงลำพัง
กระทั่งฟ้ามืด คนในจวนออกตามหานางไปทั่ว นางกลับยิ่งซ่อนตัวอย่างมิดชิด สุดท้ายเป็นท่านน้าจิ้งหวั่นที่หานางเจอ ท่านน้าจิ้งหวั่นในยามนั้น ก็ตบไหล่นางเบาๆ เหมือนในตอนนี้ และกล่าวกับนางอย่างจริงใจว่า “พระชายาหวังดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ! คุณหนูมีฐานะที่ไม่ธรรมดา จำเป็นต้องมีกำลังปกป้องตนเอง!”
ยามนั้นนางไม่เคยสงสัยเลยว่าคำว่า ‘ฐานะไม่ธรรมดา’ นั้นหมายความว่าอย่างไร ยามนี้มาคิดดู เหมือนจะไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นบุตรีจวนเซ่อเจิ้งอ๋องเท่านั้น บางที อาจเป็นฐานะของเสด็จแม่ต่างหากที่ไม่ธรรมดา!
หัวใจพลันสั่นไหว ซูหลีอดไม่ได้ที่จะขานเรียก “ท่านน้าจิ้งหวั่น!”
จิ้งหวั่นอึ้งงัน มองนางอย่างตกตะลึง สายตาสะท้อนแววตกใจและสงสัย
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ข้า…เรียกท่านเช่นนี้เหมือนที่ท่านหญิงหมิงอวี้เรียกได้หรือไม่เจ้าคะ?” หากในโลกนี้ยังมีใครที่เคารพรักเสด็จแม่นางยิ่งกว่าตัวนางแล้วละก็ คนผู้นั้นก็คือจิ้งหวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย! ตั้งแต่ที่นางจำความได้ ที่ใดมีเสด็จแม่อยู่ ก็มักมีเงาของท่านน้าจิ้งหวั่นอยู่ด้วยเสมอ ได้ยินว่าท่านน้าจิ้งหวั่นอยู่ข้างกายเสด็จแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างเสด็จแม่กับนาง คงไม่ใช่แค่นายกับบ่าวนานแล้ว แต่เป็นญาติที่สนิทมากที่สุดมากกว่ากระมัง!
เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาที่ซูหลีมองจิ้งหวั่นจริงใจขึ้นอีกหลายส่วนอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนั้น นางจึงมองเห็นคลื่นอารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในดวงตาจิ้งหวั่น
จิ้งหวั่นสีหน้าเปลี่ยนผันไปมา ครู่หนึ่งจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ หัวเราะเสียงเบากล่าวว่า “ย่อมได้เจ้าค่ะ ขอเพียงท่านหญิงหมิงซีไม่รังเกียจที่จิ้งหวั่นฐานะต่ำต้อย”
ซูหลีส่ายหน้า “ท่านน้ากล่าวหนักเกินไปแล้ว เพราะความฝันที่ท่านหญิงหมิงอวี้บันดาลให้ซูหลีเห็น ซูหลีถือว่าญาติของท่านหญิงหมิงอวี้เป็นเสมือนญาติของตนเองนานแล้ว แล้วยังจะพูดเรื่องฐานะต่ำต้อยกันอีกทำไมเจ้าคะ!”
สายตาที่จิ้งหวั่นจ้องมองนางพลันสั่นไหว “ท่านหญิงหมิงอวี้…”
ซูหลีกล่าวต่อว่า “ท่านเป็นท่านน้าของท่านหญิงหมิงอวี้ ก็เท่ากับเป็นท่านน้าของซูหลีด้วย ต่อจากนี้ไปหากท่านน้ามีเรื่องใด มาหาซูหลีได้ทุกเมื่อนะเจ้าคะ”
สายตานางเปล่งประกายและจริงใจ คล้ายจงใจเอ่ยวาจาแฝงความหมาย จิ้งหวั่นชะงักเล็กน้อย ถอนใจกล่าวว่า “ขอบคุณน้ำใจของท่านหญิงยิ่งนัก ยามนี้ความอยุติธรรมที่ท่านหญิงหมิงอวี้ได้รับถูกเปิดโปงแล้ว จิ้งหวั่น…บรรลุเป้าหมายแล้ว หวังเพียงได้อยู่เคียงข้างพระชายาไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ก็เพียงพอ”
ซูหลีดึงมือนางมากุม พลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านน้าภักดีกับพระชายาถึงเพียงนี้ ซูหลีซาบซึ้งยิ่งนัก ทว่า… มีเรื่องหนึ่ง ซูหลีอยากขอคำชี้แนะจากท่านน้า”
จิ้งหวั่นกล่าวเสียงขรึม “ท่านว่ามาได้เลยเจ้าค่ะ!”
ซูหลีครุ่นคิด แล้วจึงค่อยกล่าว “ไม่รู้เพราะเหตุใด ขุนพลฮูเอ่อร์ตูจึงพยายามสืบหาชาติกำเนิดของซูหลีทุกวิถีทาง เขาสืบไปจนถึงหญิงที่ทำคลอดให้ท่านแม่ข้า แต่หญิงนางนั้นกลับตายอย่างกะทันหัน!” เสียงนางสะดุดไปเล็กน้อย เงยหน้ามองจิ้งหวั่นนิ่งๆ ค้นพบว่าจิ้งหวั่นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย!
ซูหลีกล่าวต่อว่า “หญิงนางนั้นถูกใบไม้ซัดทะลุหัวใจจนตาย ซูหลีเคยได้ยินท่านหญิงหมิงอวี้บอกว่าวรยุทธ์เช่นนี้มีชื่อเรียกว่า ‘กลีบบุปผาปลิดปลิว’ และท่านน้าจิ้งหวั่น ก็ช่ำชองวิชานี้ที่สุด ฉะนั้นซูหลีจึงอยากถามท่านน้า หญิงนางนั้นท่านน้าเป็นคนสังหารใช่หรือไม่? แล้วท่านน้าสังหารคนเพื่อปิดบังเรื่องใดกันเจ้าคะ? หรือชาติกำเนิดของซูหลี…มีความลับใดที่ท่านน้ารู้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงนางเฉียบแหลม นัยน์ตาสะท้อนความคาดหวัง
จิ้งหวั่นสายตาพลันเปลี่ยน ทว่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก่อนกล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ! กลีบบุปผาปลิดปลิวมิใช่วรยุทธ์ที่จิ้งหวั่นช่ำชองแต่เพียงผู้เดียว ในยุทธภพมีคนฝึกฝนวิชานี้อีกมากมาย หญิงที่ทำคลอดให้ท่านหญิง จิ้งหวั่นไม่รู้จัก ยิ่งไม่มีบุญคุณความแค้นใดกับนาง จิ้งหวั่นไม่มีทางสังหารนางหรอกเจ้าค่ะ!”
“อ้อ?” ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย กลีบบุปผาปลิดปลิวไม่ใช่วรยุทธ์ลึกลับใดจริงๆ แต่สามารถฝึกฝนจนสามารถปลิดชีพคนด้วยใบไม้ใบเดียวได้ กลับมีไม่มากคนนัก เห็นชัดว่าจิ้งหวั่นต้องการปิดบัง นางจึงถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ซูหลีเพียงแปลกใจ หญิงทำคลอดธรรมดาผู้หนึ่ง เหตุใดถึงถูกไล่ล่า? จึงอยากถามท่านน้าดูสักครา จู่ๆ ชาติกำเนิดของซูหลีก็เป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย ซูหลีจึงสับสนยิ่งนัก ท่านน้าอาจยังไม่ทราบ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ลัทธิธิดาเทพแห่งแคว้นเปี้ยนวางแผนจับซูหลีไปขังไว้ในสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง!”
“ลัทธิธิดาเทพ?” ครั้นได้ยินชื่อนี้ สีหน้าจิ้งหวั่นพลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง รีบกุมแขนนางไว้แน่น ถามด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความกังวลไว้ไม่มิด “พวกเขาจับท่านไปหรือ? พวกเขาทำอะไรท่านหรือไม่? แล้วได้กล่าวอะไรกับท่านหรือเปล่าเจ้าคะ?”
นางไม่เคยเห็นท่านน้าจิ้งหวั่นตื่นตกใจถึงเพียงนี้ ซูหลียิ่งมั่นใจมากขึ้น เสด็จแม่กับลัทธิธิดาเทพ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน!
ซูหลีกุมมือจิ้งหวั่นแน่น รีบกล่าวปลอบโยน “ท่านน้าวางใจ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรข้า เพียงถามว่าแหวนหยกขาวคู่นั้นอยู่ที่ใดเท่านั้น”
“แหวนหยกขาว…” จิ้งหวั่นตกใจจนปล่อยมือนาง หันหน้าไปอีกทาง พึมพำเสียงเบา “ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้อีก!”
“ท่านน้าว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?” ซูหลีถามอย่างสงสัย “หรือท่านน้าทราบว่าแหวนนั่นมีความลับอะไรซ่อนอยู่?”
จิ้งหวั่นสีหน้าสะดุด ขมวดคิ้วหันไปมองนางด้วยสายตาหนักใจ ทำท่าจะเอ่ยปากแต่ก็หยุด
ซูหลีกล่าวอีกว่า “แหวนคู่นั้น ซูหลีเห็นเจิ้นหนิงอ๋องมีเพียงวงเดียว บนแหวนสลักอักษรรูปร่างประหลาดซับซ้อนเอาไว้ ไม่เหมือนภาษาแคว้นเฉิง แหวนวงนั้นแต่เดิมเป็นของท่านหญิงหลีซู!”
……………………………………………………..