กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 172 จิ้งอันอ๋องสำนึกผิด (2)
ครั้นวาจานี้หลุดจากปาก จิ้งหวั่นอดถามอย่างร้อนใจไม่ได้ “เรื่องนี้ท่านหญิงหมิงอวี้ก็เป็นคนบอกท่านหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ สายตาของจิ้งหวั่นสับสนระคนตกใจ “เจิ้นหนิงอ๋อง! เป็นเขาเอาแหวนของคุณหนูไป?!”
ซูหลีถอนหายใจ ยามนั้นที่แหวนถูกตงฟางเจ๋อชิงไป เสด็จแม่รู้เข้าก็โกรธมาก ถึงขั้นลงโทษนางให้คุกเข่าอยู่ในห้องโถงด้านหน้าหนึ่งวัน! นับจากวันนั้นท่านน้าจิ้งหวั่นก็ออกตามสืบไปทั่ว แต่กลับไม่พบเบาะแสของแหวนแม้แต่น้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ที่ชิงแหวนไปจะเป็นเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อ!
จิ้งหวั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ในเมื่อท่านเรียกข้าว่าท่านน้า เช่นนั้นจิ้งหวั่นขอบอกท่านหญิงว่าแหวนวงนั้นไม่ใช่สิ่งของธรรมดาจริงๆ แต่เรื่องนี้ ท่านอย่าได้ถามมากความอีก ยิ่งรู้น้อย ท่านก็จะยิ่งปลอดภัย!”
ซูหลีรู้แต่แรกแล้วว่าจิ้งหวั่นไม่ใช่คนที่จะยอมบอกความจริงง่ายๆ ไม่ว่านางจะเป็นซูหลีหรือหลีซูก็ตาม! และนางก็รู้ว่าที่ท่านน้าจิ้งหวั่นไม่ยอมบอก ก็เพราะหวังดีกับนาง แต่นางไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในม่านหมอกแห่งปริศนาอีกต่อไปแล้ว จะต้องมีสักวันที่นางจะสืบหาความจริงให้เจอ
ซูหลีทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ แล้วลุกขึ้นกล่าวลา ก่อนจากไปนางได้บอกที่อยู่ของจวนใหม่ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นางให้จิ้งหวั่นรู้ และยัดศิลาห้อยเอวชิ้นหนึ่งใส่มือนาง “หากภายหน้าท่านน้ามีเรื่อง นำของสิ่งนี้มาหาข้าได้เลยนะเจ้าคะ” นางมองจิ้งหวั่นอย่างลึกซึ้ง คล้ายอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป
จิ้งหวั่นหลุบตาต่ำ “ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะ จิ้งหวั่นจะอยู่เฝ้าหลุมศพพระชายาตลอด หากท่านหญิงมีเรื่องใดต้องการพบจิ้งหวั่น ให้คนมาส่งสารที่นี่ได้เสมอเจ้าค่ะ”
ซูหลีพยักหน้า พลิกกายขึ้นม้า ก่อนตะบึงม้าจากไปยังทิศทางหนึ่ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นเยียบพัดพาอาภรณ์ของนางให้พลิ้วไหวกลางอากาศ จิ้งหวั่นที่อยู่ด้านหลังยืนมองนางอย่างเหม่อลอย ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหลังยามหมุนกายเดินจากไป หรือท่าพลิกกายขึ้นม้า กระทั่งท่วงท่าพุ่งทะยานบนหลังม้า ไม่มีอิริยาบถใดเลยที่ไม่เหมือนเจ้านายตัวน้อยของนางในอดีต!
“นายหญิง ท่านคงจะดีใจมากกระมังเจ้าคะ?!” จิ้งหวั่นหันไปยิ้มอย่างโศกเศร้าให้กับหลุมศพของหรงซีจิน
ห้อม้าอยู่บนทางเดินเส้นเล็กๆ ที่ไม่คุ้นเคย นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ขี่ม้าเช่นนี้? ฟังเสียงสายลมกรีดพัดผ่านใบหูดังหวีดหวิว มองดูภาพทิวทัศน์ที่เลื่อนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีจมดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ รู้สึกราวกับย้อนเวลากลับไปในอดีต หากมิใช่ภาพบรรยากาศอันวังเวงตรงหน้าปรากฏสู่ครรลองสายตา นางอาจอยู่ในความฝันได้นานกว่านี้อีกสักหน่อย
หุบเขาอันไกลโพ้นและทุรกันดาร ทางเดินเส้นเล็กคดโค้งและคับแคบ ต้นหญ้ารกชัฏและยาวเฟื้อยเลยเข่า ได้ยินว่าศพของนางคนก่อนถูกฝังอยู่ ณ สุดทางเดินเส้นนี้นี่เอง
ซูหลีพลิกกายลงจากม้า เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเส้นเล็ก ไม่รู้เดินอยู่นานเท่าใด ในที่สุดนางก็มองเห็นเนินดินเล็กๆ และป้ายศิลาที่ไม่ได้สลักอักษร หน้าป้ายศิลาเต็มไปด้วยต้นหญ้ารก บดบังป้ายศิลาที่เดิมก็ไม่ได้ใหญ่มากอยู่แล้วไปมากกว่าครึ่งส่วน
รอบข้างเงียบสงัด ไร้เงาผู้คน แม้แต่สายลมในที่แห่งนี้ ก็ยังเย็นเยียบและพาให้รู้สึกวังเวงกว่าที่อื่น
ความรู้สึกเจ็บปวดและขมขื่นถาโถมโจมตีหัวใจของซูหลี ทว่าทันใดนั้น กลิ่นสุราเข้มข้นพลันลอยมาแตะจมูก ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สาวเท้าเดินไปช้าๆ พลันนั้น เท้าของนางสะดุดกับบางสิ่ง นางเซไปหนึ่งก้าวจนเกือบจะล้มลงพื้น ครั้นก้มหน้ามอง กลับเห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น!
ซูหลีตกใจ รีบแหวกต้นหญ้าออก แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นางคุ้นเคยดีกำลังนอนเมามายไม่ได้สติ
ตงฟางจั๋ว?!
ซูหลีอึ้งงัน เงยหน้ามองไปรอบทิศ ห่างออกไปไม่ไกล มีไหสุราว่างเปล่าสิบกว่าไหวางอยู่ รอบกายไร้ซึ่งกลิ่นอายของบุคคลที่สาม นางอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน เหตุใดเขาจึงมาดื่มสุราอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ข้างกายไม่มีผู้ใดติดตามมาสักคน! นางบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกเช่นไร ความจริงในคดีของหลีซูถูกเปิดเผยต่อหน้าฟ้าดิน ในที่สุดบุรุษผู้นี้ก็เข้าใจแล้วว่าตนเองเข้าใจนางผิดงั้นหรือ? น่าเสียดายที่เขาเข้าใจช้าเกินไปเสียแล้ว!
ซูหลีลุกขึ้นเดินผ่านร่างเขาที่นอนอยู่บนพื้นไปยืนอยู่หน้าป้ายศิลาที่ไร้อักษรอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะไม่มีผู้ใดมาที่นี่อีกต่อไปแล้ว! ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้นำศพของหลีซูย้ายกลับไปฝังในสุสานบรรพบุรุษสกุลหลี โดยให้เริ่มดำเนินการพรุ่งนี้ วันนี้นางเพียงอยากมาดูสักครั้ง ว่าสถานที่ที่ผู้คนล่ำลือกันว่าเงียบสงัดจนแม้แต่นกยังไม่กล้าบินผ่าน จะเงียบงันวังเวงถึงเพียงใดกัน! นึกไม่ถึงว่าจะเจอตงฟางจั๋วที่นี่!
ตอนแรกนางไม่อยากสนใจเขา แต่ไม่รู้เขานอนอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว เมื่อครู่ที่สัมผัสถูกตัวเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็พบว่าร่างกายเขาเย็นชืดไปหมดแล้ว ไม่เหลือความอบอุ่นแม้แต่น้อย
หลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง แล้วขานเรียกเสียงเย็นชา “จิ้งอันอ๋อง!”
ตงฟางจั๋วไม่ตอบสนอง
ซูหลีขมวดคิ้ว ยื่นมือไปตบหน้าเขาเบาๆ พลางขานเรียกอีกครั้ง “จิ้งอันอ๋องทรงตื่นเถิดเพคะ!”
อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบสนอง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงอย่างช้าๆ บุรุษที่เมามายไม่ได้สติราวกับร่างไร้วิญญาณ ไม่ว่านางจะขานเรียกหรือตบหน้าอย่างไร เขาก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ซูหลีเริ่มร้อนใจ ถลึงตาจ้องเขา อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเคืองขุ่น “ตงฟางจั๋ว ท่านดื่มไปมากมายขนาดไหนกัน?! มาเยี่ยมนางด้วยสภาพเมามายเช่นนี้ นี่คือวิธีแสดงความจริงใจของท่านหรือ?”
เพิ่งสิ้นประโยคของนาง บุรุษที่ก่อนหน้านี้ไร้การตอบสนองราวกับได้ตายไปแล้วตรงหน้า พลันลืมตาขึ้นทันที!
สายตาเมามายเลื่อนลอยสบเข้ากับดวงหน้าของสตรีตรงหน้า ร่างกายเขาพลันสั่นสะท้าน รีบลุกพรวดขึ้นนั่ง ไม่เอ่ยวาจาใด เอื้อมมือรั้งนางเข้ามากอดทันที!
แขนของเขาแรงเยอะมาก โอบกอดนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือ คนที่เขาคิดถึงจะหายวับไปทันที
ซูหลีสะดุ้ง คิ้วงามขมวดแน่น ยกมือหมายจะผลักเขาออก ทว่ากลับได้ยินเขากล่าวเสียงเบา “หลีซู…ในที่สุดเจ้าก็ยอมมาพบข้าในความฝันแล้วหรือ?”
เสียงของเขาแหบพร่า ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและระมัดระวัง คล้ายทั้งประหลาดใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
เขาดื่มสุราไปมากมายขนาดนั้น เพียงเพราะต้องการให้ตนเองที่พักนี้ข่มตาไม่ลงได้นอนหลับนานขึ้นสักนิด ให้นางได้มีโอกาสเข้ามาในความฝัน เมื่อนางเข้ามาในความฝันเขาก็สามารถพูดคุยกับนางได้ ถึงแม้จะถูกนางด่าอย่างเคียดแค้นเพียงใดก็ยอม
มือของซูหลีที่ยกขึ้นมาพลันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับสูญสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงไปแล้ว
แขนทั้งสองข้างของบุรุษตรงหน้าโอบแน่นไม่ยอมคลาย คล้ายต้องการดึงสตรีที่เคยสูญเสียไปแล้วกลับเข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้ง กลิ่นสุราบนกายและกลิ่นอายอบอุ่นของเขาแผ่กำจายมายังนาง
“เจ้าเกลียดข้ามากใช่หรือไม่?” เสียงสั่นเทา สะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวและลนลานที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เพคะ”
ตงฟางจั๋วสั่นไปทั้งตัว คล้ายหัวใจเจ็บปวดจนไม่อาจควบคุม เขามุดศีรษะกับไหล่อันบอบบางของนาง สัมผัสเปียกอุ่น ซึมผ่านชั้นอาภรณ์ถูกผิวกายของนาง ส่งผ่านความรู้สึกสำนึกผิดและเกลียดชังตนเองของเขาไปถึงหัวใจนาง
ซูหลีสะท้านใจเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้ขยับตัว ได้ยินเพียงตงฟางจั๋วกล่าวด้วยเสียงเจ็บปวดอยู่ข้างหูว่า “สมควรแล้วที่เจ้าเกลียดข้า…วันแต่งงาน ภรรยาถูกวางแผนลอบทำร้าย ข้าในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง ไม่เพียงไม่รู้ กลับยังซ้ำเติมด้วยการทำผิดต่อเจ้าอย่างไม่อาจให้อภัย…เจ้า เกลียดข้าก็สมควรแล้ว! แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังเกลียดตนเองมาก!”
เสียงทรมานของเขาแทบจะกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ ความรู้สึกสำนึกผิดและแค้นใจ มีเพียงต้องดื่มจนเมามายและหลับฝันเท่านั้น จึงจะสามารถระบายออกมาได้หมด ไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์ในฐานะท่านอ๋อง ไม่ต้องสนใจสายตาผู้อื่น เพื่อสตรีอันเป็นที่รักแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้! ตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่านางตาย เขาก็เริ่มสำนึกผิดแล้ว! แต่เขามิอาจพูดออกมาได้ และมิอาจให้ผู้ใดรู้ เพราะเขาเป็นท่านอ๋องที่มีฐานะสูงส่งที่สุดแห่งราชวงศ์ เป็นหนึ่งในตัวเต็งสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ผู้คนกำลังจับตามอง เขาไม่อาจทำให้คนเหล่านั้นผิดหวัง โดยเฉพาะเสด็จแม่ที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเขา!
……………………………………………………….