กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 173 จิ้งอันอ๋องสำนึกผิด (3)
เสด็จแม่พร่ำสอนเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทุกการกระทำของเขา ผิดก็คือถูก ไม่อาจเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง นอกจากฮ่องเต้ ห้ามก้มหน้ายอมรับผิดกับผู้ใดเด็ดขาด! แต่ความผิดพลาดไม่ได้หายไปเพียงเพราะเขาทำตามที่เสด็จแม่สอน…เมื่อความจริงในคดีอยุติธรรมถูกเปิดเผย การหนีความจริงทั้งหมดของเขา ก็ล้วนไร้ซึ่งข้อแก้ตัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซูหลีถึงได้เย็นชาและดูแคลนเขาถึงเพียงนั้น
“ข้าขอโทษ! หลีซู เป็นเพราะข้าไม่ดี เข้าใจเจ้าผิด ทำร้ายเจ้า ข้าขอโทษ! หลีซู…” เขาขอโทษนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สำนึกผิดและโทษตนเอง กล่าววาจาไม่เป็นประโยค ราวกับไม่ใช่คนเดียวกับจิ้งอันอ๋องที่ในยามปกติวางท่าสูงส่งและเย่อหยิ่ง
ซูหลีหลับตาเงียบๆ ยังคงไม่กล่าวคำใด ความรู้สึกเจ็บปวดและโศกเศร้าภายในใจโอบกอดคนทั้งสองไว้แน่น หากพูดกันตามความจริงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันแต่งงาน เขาก็เป็นเพียงเหยื่อคนหนึ่งไม่ต่างกัน เพียงแต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้นางอภัยให้เขาได้ เหมือนเช่นที่เขากล่าว ความผิดที่เขากระทำต่อนาง มิอาจให้อภัยจริงๆ
นางผลักเขาออกแรงๆ มองดูสีหน้าเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของเขา แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “จิ้งอันอ๋อง ทรงทอดพระเนตรให้ดี หม่อมฉันคือซูหลี มิใช่หลีซู! นางไม่มีทางมาเข้าฝันท่าน แม้ท่านจะดื่มสุราอีกมากมายเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์!”
วาจาโหดร้าย จู่โจมจิตใจจนประกายในดวงตาเขาจางหายไปในพริบตา โลกแห่งความฝันที่ถูกสร้างขึ้นด้วยจิตใจอันเป็นทุกข์ พลันสลายหายไปดังฟองสบู่ ตงฟางจั๋วอึ้งงัน ไม่นานก็ยิ้มอย่างเจ็บปวด
ซูหลีกล่าวอีกว่า “…คำขอโทษของท่าน นางไม่มีวันรับไว้ ความผิดของท่าน นางก็ไม่มีทางให้อภัย! กลับไปยังที่ที่ท่านควรอยู่เถิดเพคะ ที่นี่ ไม่เหมาะกับท่าน!” เอ่ยจบนางก็รีบลุกขึ้นหมุนกายหันหลังอย่างเย็นชา ไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกแม้แต่วินาทีเดียว
ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ในที่สุดก็ถูกม่านราตรีปกคลุมจนเต็มผืน สายลมยามค่ำคืนในฤดูสารท เย็นเยียบวังเวงกว่าที่เคย กรีดพัดผ่านใบหูราวกับกำลังถ่ายทอดท่วงทำนองอันโศกเศร้าและจนใจ
ตงฟางจั๋วหลับตาแน่น แต่ก็มิอาจยับยั้งความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจ
เรื่องในอดีตผุดขึ้นมาในสมองเขาทีละภาพๆ อย่างมิอาจควบคุม…
ครั้งแรกที่พบกันใต้ต้นดอกหลี เขารักนางตั้งแต่แรกเห็น เอ่ยคำสาบานสามชาติสามภพอย่างไม่ลังเล! วันนั้นเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตที่ผ่านมายี่สิบกว่าปี เขาพบสตรีที่ตนเองต้องการในชีวิตนี้แล้ว และรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉะนั้นจึงเข้าวังไปแสดงเจตจำนงต่อเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างไม่รั้งรอ รู้ทั้งรู้ว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เช่นนี้จะทำให้เสด็จพ่อเคลือบแคลงได้ง่ายๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ คิดแต่ว่าอยากสู่ขอนางมาเป็นภรรยาเท่านั้น…
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรคือความถวิลหา! เขาเคยแอบสาบานกับตนเองว่าหากได้รับความถวิลหาอย่างนี้จากนางเช่นกัน ชีวิตนี้จะไม่สู่ขอหญิงใดเป็นครั้งที่สองอีก!
ครั้นงานแต่งใกล้เข้ามา มิอาจอธิบายความรู้สึกของเขาในคืนก่อนวันงานได้ ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ไม่สามารถข่มตาหลับ ไม่เหมือนเขาคนเดิมแม้แต่น้อย! และในวันต่อมา เมื่อเห็นสตรีสวมชุดแต่งงานสีแดงปรากฏกายในครรลองสายตาของเขา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะควบคุมความตื่นเต้นในใจไว้ได้ คิดไปว่าในที่สุดวันนี้เขาก็สมปรารถนา กลายเป็นบุรุษที่มีความสุขที่สุดในโลกนี้ ทว่านึกไม่ถึง…กลับต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน นางตั้งครรภ์ก่อนแต่ง! วินาทีนั้น ความรู้สึกของเขา…ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้!!
การโจมตีอันรุนแรง ไม่เพียงทำลายเกียรติยศทั้งหมดของเขา แต่ยังทำลายความคิดถึงที่เขามีต่อนางทุกคืนวันด้วย! และยิ่งถวิลหามากเท่าใด รักลึกซึ้งมากเท่าไร ความเจ็บปวดที่ย้อนกลับมาทำร้ายก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น ทั้งปวดใจ ผิดหวัง ทุกข์ทรมาน เคียดแค้น…ความรู้สึกเหล่านี้เมื่อผสมปนเปกัน สติสัมปชัญญะของเขาก็ถูกทำลายจนสิ้น นั่นทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไป!
เคยคิดนับครั้งไม่ถ้วนว่าตอนนั้นเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นกับนาง…แม้แต่ชีพจรก็ยังเปลี่ยนแปลงกันได้ แล้วแค่เลือดพรหมจรรย์ จะยากแค่ไหนกันหากจะทำให้มันหายไป?
ไม่อยากคิดอีกต่อไปแล้ว! ลมหายใจอันเจ็บปวด ได้แผ่ปกคลุมไปทั่วหัวใจของเขา! ดั่งมีดนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าไปในใจ ไม่มีอะไรที่ทำให้ใจสลายและสิ้นหวังมากไปกว่า…การผลักสตรีที่ตนเองรักไปสู่เส้นทางแห่งความตายอีกแล้ว!
ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ความสำนึกผิดจะตามติดเขาไปเสมือนเงา!
เขาไม่ได้จากไปอย่างเชื่อฟัง กลับแหงนกายนอนลงไปบนพื้นอีกครั้ง ปล่อยให้พื้นดินเย็นๆ ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้าง นำความหนาวเหน็บซึมซาบเข้าไปในร่างกายที่เริ่มร้อนของเขา
ไม่รู้ว่าเขาหยิบไหสุรามาจากที่ใดอีก เปิดจุกออกแล้วเทใส่ปาก ทว่ากลับหกเลอะใบหน้าเต็มไปหมด เขาสำลักจนน้ำตาไหลอย่างไม่อาจควบคุม
ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในแววตาเจ็บปวด สะท้อนภาพแผ่นหลังเย็นชาและเด็ดเดี่ยวของสตรีตรงหน้า นางช่างเหมือนกับสตรีในดวงใจของเขาเหลือเกิน! ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน! แต่ว่าสตรีนางนี้ เขาไม่มีสิทธิ์พูดกับนางว่า ‘เจ้าเป็นของข้า!’ อีกแล้ว ไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว!
สติสัมปชัญญะที่สุราสิบไหยังมิอาจทำอะไรได้ ในที่สุดก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง
ซูหลีเม้มกลีบปากแน่น ไม่ยอมหันไปมอง เสียงไออย่างรุนแรงที่ดังมาจากข้างหลังราวกับกำลังจะขาดใจ ครั้นเสียงนั้นค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งเงียบลง นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ ผ่านไปเนิ่นนาน และผ่านไปอีกเนิ่นนาน เสียงพึมพำอย่างสิ้นหวังก็ดังมาจากข้างหลัง ราวกับกำลังละเมอ แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ข้าผิดไปแล้ว…ต้องทำอย่างไร จึงจะให้อภัย…”
“หากเป็นไปได้ ข้ายอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อแลกเจ้าคืนมา…แม้ว่า เจ้าจะไม่มีวันให้อภัยข้าตลอดกาลก็ตาม…”
“ไม่ให้อภัย…ตลอดกาล…”
น้ำตาสองสายค่อยๆ ซึมออกจากดวงตาที่ปิดแน่นของชายหนุ่ม ไหลลงบนพื้นอันเย็นชืดที่เขานอนอยู่ สายลมพัดผ่านร่างกายเขาเบาๆ พัดเป่าจนน้ำตาแห้งเหือด เหลือไว้เพียงความเจ็บปวดสิ้นหวังที่แผ่ปกคลุมหัวใจของเขา
หัวใจของซูหลีพลันเจ็บปวดแสนสาหัส ความแค้นที่กัดกินหัวใจนางมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ค่อยๆ จางหายไปอย่างไม่รู้ตัว แต่นางก็ยังไม่หันไปมองเขา
เขาถามว่าต้องทำเช่นไร จึงจะยอมให้อภัย?
ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจให้อภัย! เรื่องบางเรื่อง หากทำพลาดไปแล้ว ก็ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกตลอดกาล!
นางหลับตาลงช้าๆ ซึมซับกลิ่นอายความเศร้าโศกที่กระจายอยู่รอบตัว ราวกับกำลังไว้อาลัยให้กับความรักที่ยังไม่ทันได้เบ่งบานก็ชิงแห้งเหี่ยวไปเสียแล้ว!
ช่างเป็นค่ำคืนที่หนาวเหน็บอะไรอย่างนี้ ต่อหน้าหลุมศพรกร้างไร้อักษรของนาง นางและบุรุษที่นางเคยเกลียดที่สุด คนหนึ่งยืนคนหนึ่งนอนอยู่อย่างนั้นตลอดคืน
ยามที่แสงสว่างเริ่มอาบไล้ผืนฟ้า นางจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาผิดปกติ ตัวร้อนจัด สติสัมปชัญญะคล้ายเลือนรางไปนานแล้ว จึงรู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้หลับไปเพราะเมามาย แต่เป็นเพราะร่างกายถูกความเย็นเข้าแทรกจนเป็นไข้หมดสติ! นางพลันตื่นตระหนก ด้วยฐานะของเขาหากเกิดเรื่องใดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นแน่ นางรีบส่งสัญญาณเรียกหวั่นซินมา และกำชับให้หวั่นซินส่งตงฟางจั๋วกลับจวนจิ้งอันอ๋อง ในขณะที่นางกลับยังคงรั้งอยู่ต่อ
อากาศในวันนี้ไม่ได้ดีมากนัก ถึงแม้ไม่มีกลุ่มเมฆ แต่ก็มีหมอกหนาปกคลุม เห็นแสงอาทิตย์เพียงรำไร
ซูหลีเดินไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ นางยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถง[1]บนยอดเขา อาภรณ์ขาวเส้นผมสีดำ ยืนอยู่เพียงลำพัง ทอดมองออกไปไกล เสียงฝีเท้าของกองทัพทหารที่ได้รับพระบัญชาให้มาขนย้ายศพดังก้องไปทั่วภูเขา ในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง นอกจากเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน คนอื่นล้วนมากันพร้อมหน้า แต่ละคนสวมชุดกระสอบ ร่ำไห้เสียงดัง แสดงความโศกเศร้าและเสียดายต่อการตายอย่างไม่เป็นธรรมของท่านหญิงหมิงอวี้ เทียบกับบรรยากาศวังเวงในห้องโถงไว้ทุกข์ของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องในวันนั้นแล้ว แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชา ที่ผ่านมาเหตุใดนางไม่เคยรู้สึกเลยสักนิดว่าคนเหล่านั้นช่างเสแสร้งถึงเพียงนี้! บางทีคนที่ไม่เสแสร้ง คงมีแค่หลีเหยาคนเดียวกระมัง?
…………………………………………………
[1] ต้นอู๋ถง คือต้นเมเปิลพันธุ์จีน