กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 174 มิสู้ชดใช้ด้วยความตาย? (1)
หลีเหยาหมอบอยู่หน้าหลุมศพหลีซู ร่ำไห้ปานใจจะขาด นางหมดสติ และฟื้นขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าปวดใจเพราะการตายอย่างไม่ยุติธรรมของหลีซู หรือเพราะบาปที่มารดาของนางได้ก่อไว้กันแน่
ซูหลีกำมือแน่น ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ลงไปปลอบใจนาง หลังผ่านเรื่องนี้มา นางไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับหลีเหยาอย่างไร! ถึงแม้ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของพระชายารองอวี้ ไม่เกี่ยวกับหลีเหยา แต่อย่างไรพระชายารองอวี้ก็เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของหลีเหยา ทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อหลีเหยา แม้ซูหลีจะใจกว้างอีกเพียงใด ก็ยากจะกลับไปเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันกับหลีเหยาโดยไม่รู้สึกอะไรเหมือนดังแต่ก่อนได้
ในโลกใบนี้ คนที่นางสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างจริงใจ มีน้อยลงเรื่อยๆ!
นางสูดหายใจลึกๆ แหงนหน้ามองท้องฟ้า แล้วทอดถอนใจเบาๆ
ด้านหลัง พลันมีคนเดินเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียง ซูหลีพลันเกร็งไปทั้งร่าง แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้จงใจปิดบังกลิ่นอาย และกลิ่นอายนั้น ก็เผด็จการลึกล้ำยากคาดเดาไม่เหมือนผู้ใด ขณะอยู่ห่างจากนางเพียงสามจั้ง นางก็เดาได้แล้วว่าเป็นผู้ใด จึงผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว
ในยามที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าเหตุใดพิธีเคลื่อนย้ายศพของท่านหญิงหมิงอวี้จึงไม่เห็นเงาร่างของท่านหญิงหมิงซี ตงฟางเจ๋อกลับมองเห็นเงาร่างบอบบางที่ยืนอยู่บนยอดเขาทันทีตั้งแต่แวบแรก
อาภรณ์ขาวผมดำ ลอยไหวไปตามสายลม ยืนเพียงลำพังอยู่ใต้ต้นอู๋ถง ราวกับเทพธิดาผู้งดงามที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มม่านหมอก ละทิ้งความวุ่นวายในโลกไว้เบื้องหลัง
จู่ๆ เขาก็อยากรั้งนางเข้ามากอด ตงฟางเจ๋อชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปถาม “ซูซูมองสิ่งใดอยู่หรือ?”
ซูหลีไม่ได้ตอบทันที ไม่แม้กระทั่งหันมามอง สายตาของนางยังคงทอดมองไปข้างหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเสียดสี “กำลังมองความเสแสร้งของโลกใบนี้อยู่เพคะ แท้จริงคนเรามีได้กี่ใบหน้ากันแน่!”
ตงฟางเจ๋อชะงักเล็กน้อย หัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าเห็นชัดเจนแล้วหรือไม่?”
“เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่ชัดแจ้งเพคะ” คำตอบเช่นนี้ฟังคล้ายขัดแย้งกันเอง แต่กลับเป็นเรื่องจริง ซูหลีเอ่ยจบก็หันไปมองเขา ยามนี้เขาเดินเข้ามายืนเคียงไหล่กับนางแล้ว
บุรุษผู้นี้ยังคงสวมอาภรณ์สีดำและมีใบหน้าหล่อเหลาเช่นเดิม ร่างกายสูงใหญ่ยืนรับลมอย่างสง่างาม เขายิ้มและมองนาง นางกลับไม่แน่ใจว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมีความจริงใจอยู่มากน้อยเท่าใด และมีแววหยั่งเชิงกับความคิดอื่นแฝงอยู่อีกมากน้อยเพียงใด
“คนบางคน ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่ชัดแจ้งเพคะ!” นางยิ้มอ่อน ในครรลองสายตาที่ถูกม่านหมอกบดบัง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเขา ก็คือหน้ากากชั้นดีที่สุดในโลกใบนี้! ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ถึงสีหน้าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขา นานๆ ครั้งที่เผลอเปิดเผยความรู้สึกจริงๆ ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น พริบตาเดียวเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม เวลาที่อยู่กับเขา นางไม่มีวันรู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!
“ซูซู…ใช่หมายถึงข้าหรือไม่?” คิ้วคมเข้มกระดกขึ้นเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อจ้องนางด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาอันลึกล้ำคล้ายมีม่านหมอกปิดกั้น ทำให้ผู้คนมิอาจมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้น
ซูหลีไม่เอ่ยอะไร ได้ยินเพียงเขากล่าวว่า “แต่ในสายตาของข้า ซูซูก็เป็นคนเช่นนั้นเหมือนกัน!”
ยิ่งอยากมองให้ชัดเจน ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำให้เขาสนใจในตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย นางหรือ? อาจใช่กระมัง! อย่างน้อยนางก็กำลังพยายามที่จะกลายเป็นคนเช่นนั้นให้ได้! มีเพียงคนอื่นอ่านความคิดนางไม่ออก นางถึงจะรอดพ้นจากการถูกคนอื่นกุมชะตาชีวิต!
เลื่อนสายตาออกไป ซูหลีหัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “ท่านอ๋องล้อเล่นแล้วเพคะ!”
“ข้าเคยพูดหลายหนแล้ว ต่อหน้าซูซู ข้าไม่เคยล้อเล่น!” เอ่ยจบ ตงฟางเจ๋อก็เลื่อนสายตาทอดมองออกไปไกลเช่นกัน ก่อนจะถามด้วยเสียงราบเรียบว่า “จากนี้ไป ซูซูคิดจะทำเช่นไรต่อ?”
คิดจะทำเช่นไรต่อ? ซูหลีอึ้ง นางยังไม่เคยคิด! ตั้งแต่เกิดใหม่ สิ่งที่นางคิด ก็มีแต่เรื่องสืบคดีของหลีซูให้กระจ่าง เพื่อเรียกคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง ทำให้ผู้ร้ายได้รับผลกรรมที่สมควรได้รับ! ยามนี้คดีคลี่คลาย นางได้ล้างแค้นแล้ว พิธีคัดเลือกพระสวามีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่อาจประวิงเวลาออกไปได้อีก! ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุด คือถามหัวใจตนเองให้แน่ชัด แต่พิธีคัดเลือกพระสวามีในครานี้ นางดูเหมือนมีทางเลือก แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ ตงฟางจั๋ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางแต่งงานกับเขา!
เช่นนั้นตงฟางเจ๋อคล้ายจะเป็นทางเลือกเดียวของนาง…แต่ว่า บุรุษผู้นี้จิตใจยากแท้หยั่งถึง นางจะมั่นใจได้ง่ายๆ เพียงนั้นจริงหรือ?
ซูหลีแหงนหน้า ถอนหายใจเบาๆ “ซูหลีถามอะไรท่านอ๋องสักเรื่องได้หรือไม่เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า “เจ้าว่ามา”
ซูหลีแหงนหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยหันมามองเขา ม่านตากระจ่างใส พลันมีประกายคมปลาบพาดผ่าน จ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเขา นางยิ้ม แล้วถามด้วยเสียงเฉียบขาด “เหตุใดท่านอ๋องจึงต้องสู่ขอซูหลีเป็นภรรยา?”
ตงฟางเจ๋อชะงักงัน คำถามนี้…เขานึกไม่ถึงว่านางจะถามออกมาตรงๆ นางเป็นคนอ้อมค้อมและระมัดระวังถึงเพียงนั้น!
“เจ้าคิดว่าเช่นไรเล่า?” ตงฟางเจ๋อพึมพำเสียงเบา ไม่ตอบกลับย้อนถาม “ในหัวใจของซูซูคงคิดว่า ข้า…ทำเรื่องใดมักมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงเสมอ ใช่หรือไม่?”
ชั่วพริบตาหนึ่ง นัยน์ตาลึกล้ำพลันมีประกายหม่นหมองพาดผ่าน ทว่ากลับเลือนรางจนแทบแยกไม่ออก
ซูหลีใจสั่นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าหนี ก่อนจะตอบด้วยเสียงเย็นชาและสับสนเบาๆ “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
เหตุผลที่เขาต้องการสู่ขอนาง นางเคยใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างเช่น เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับจวนอัครเสนาบดี? หากเป็นคนทั่วไป อย่างไรก็ต้องเลือกซูชิ่นแน่นอน ซูชิ่นแทบจะเรียกได้ว่าลุ่มหลงมัวเมาในตัวเขา และเป็นสตรีไร้ความคิดอ่าน หากแต่งกันไปก็ง่ายต่อการควบคุม เป็นประโยชน์กับเขามากที่สุด แต่ตงฟางเจ๋อที่นางรู้จัก กลับไม่ใช่คนที่จะใช้วิธีการแบบนั้น เช่นนั้นเหตุผลที่เขาสู่ขอนางก็ไม่ใช่เพราะจุดประสงค์นี้เช่นกัน!
หากบอกว่าเขาต้องการขัดขวางการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจวนอัครเสนาบดีกับจวนจิ้งอันอ๋อง เช่นนั้นค่ำคืนนั้นที่สระน้ำพุร้อน เขาสามารถใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่งด้วยการกระทำเรื่องเลยเถิดกับนาง แต่เขากลับเลือกที่จะอดกลั้นและให้เกียรติ! ยามที่นางกลิ้งตกเขา เขาก็ปกป้องนางอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย…ฉะนั้นนางจึงบังอาจคาดเดาอย่างใจกล้า บางทีเขาอาจชอบนาง?
แต่หากชอบ ก่อนพิธีคัดเลือกพระสวามี เหตุใดจึงไม่เห็นเขาพยายามทำสิ่งใดเพื่อแสดงความรู้สึกบ้างเลย? ในพิธีคัดเลือกพระสวามี ไม่ว่านางทำอะไร เขาก็ยังคงสงบนิ่งดังเดิม ไม่มีท่าทีตระหนกหรือวิตก คล้ายไม่สนใจการเลือกของนางแม้แต่น้อย! หากเขาไม่ชอบนาง ตอนที่เขาจูบนาง แม้เผด็จการแต่ก็ไม่ขาดความอบอุ่น ทุกสัมผัสทำให้นางรู้สึกได้ว่าเขายากข่มใจ…
นางเชื่อในความรู้สึกของตนเองมาโดยตลอด มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ว่านางครุ่นคิดอีกสักกี่หน ก็ยังคงไม่ได้คำตอบเสียที!
สำหรับเขา นางคงเป็นเพียงสตรีที่ไม่เหมือนคนอื่นกระมัง? หากแต่งงานกับคนเช่นเขาจริงๆ ในอนาคต นางก็จะไม่สามารถกำหนดชีวิตและหัวใจของตนเองได้อีก ใช่หรือไม่?
หัวใจพลันสับสนยุ่งเหยิง ทั้งผิดหวังและลนลานไม่รู้ควรทำเช่นไร นางหลุบแพขนตาลงต่ำ พยายามซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนไว้ภายใต้ดวงตาคู่งาม
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางด้วยสายตาลึกล้ำ กลับไม่เอ่ยวาจาใด จู่ๆ ก็ดึงมือนางขึ้นมากุมไว้ สัมผัสเย็นๆ ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ายืนอยู่ข้างนอกอย่างนี้มาทั้งคืน?” น้ำเสียงของเขาคล้ายแฝงแววตำหนิรางๆ และราวกับว่า…ยังมีความห่วงใยที่ยากจะสังเกตได้อยู่อีกสองส่วน
ซูหลีอึ้งงันไปชั่วขณะหนึ่ง เงยหน้ามองเขาโดยสัญชาตญาณ ค้นพบว่าเขาขมวดคิ้วแน่น เอาแต่จ้องมือของนางไม่วางตา เขากุมนิ้วมือเรียวบางของนางไว้ในฝ่ามืออุ่นๆ ของตนเอง ความอบอุ่นที่ซึมซาบผิวกายเย็นๆ ส่งผ่านไปถึงหัวใจนางอย่างรวดเร็ว พาให้ทั้งร่างกายและหัวใจดวงน้อยๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้นหลายส่วน อารมณ์สับสนลนลานเมื่อครู่พลันจางหายไปในพริบตา
………………………………………………..