กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 175 มิสู้ชดใช้ด้วยความตาย? (2)
ก้มหน้าต่ำ นางไม่เอ่ยวาจาใด ทั้งสองยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ด้านล่างนั้นโลงศพของหลีซูถูกยกขึ้นมาจากหลุมแล้ว กลุ่มคนหามศพเดิมของนางด้วยพิธีเคลื่อนย้ายศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปอย่างอลังการ
ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดเขาต้องสู่ขอนาง ตงฟางเจ๋อยังไม่ได้ให้คำตอบที่นางต้องการ แต่นางก็ไม่ซักไซ้อีก คำถามเช่นนี้ ถามเพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
“ซูซู” ครั้นมือของนางไม่เย็นมากแล้ว เขาจึงค่อยเงยหน้ามองนาง สายตาที่ลึกล้ำยากคาดเดาเสมอมาพลันมีแววอบอุ่นชวนให้หวั่นไหวพาดผ่าน คล้ายมีความรู้สึกบางอย่างก่อตัวอยู่ลึกๆ เขาแย้มยิ้ม กล่าวกับนางว่า “เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่?”
ถ้าหากโลกใบนี้ยังมีสิ่งใดที่เจิดจ้าแยงตายิ่งกว่าแสงตะวัน เช่นนั้นก็ต้องเป็นรอยยิ้มของเขาในตอนนี้อย่างแน่นอน ราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนที่สามารถหลอมละลายน้ำแข็งและหิมะ
ซูหลีชะงักงัน ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เชื่อเรื่องใดหรือเพคะ?”
“เชื่อว่าข้าไม่มีวันทำผิดต่อเจ้า!” ตงฟางเจ๋อมองหน้านางอย่างเด็ดเดี่ยว
ซูหลีกลับหัวเราะ “คำว่าทำผิดของท่านอ๋องหมายถึงอะไรเล่าเพคะ?” นางเงยหน้ามองเขา แววตาเย็นชาพลันแปรเปลี่ยนเป็นบีบคั้นผู้คน หลังจากโดนตงฟางจั๋วทำร้ายมา ยามนี้สิ่งที่นางต้องการ ไม่ใช่เพียงสามีภรรยาเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือความรักและความเชื่อใจที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน มิอาจขาดได้แม้แต่สิ่งเดียว!
“ซูซู…กำลังกลัวสิ่งใดอยู่หรือ?” ตงฟางเจ๋อไม่ตอบกลับย้อนถามอีกครั้ง เขาสังเกตสีหน้าสับสนของนาง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยแววค้นหา “หรือกลัวว่าข้าจะทำกับเจ้า เช่นที่พี่รองทำกับท่านหญิงหมิงอวี้? ซูซูวางใจเถิด ข้าไม่ใช่พี่รอง และเจ้าก็ไม่ใช่ท่านหญิงหมิงอวี้! โศกนาฏกรรมระหว่างพวกเขาสองคน ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเราแน่นอน!”
น้ำเสียงเขามั่นคง สายตาร้อนรุ่ม รัศมีความมั่นใจแผ่ปกคลุมรอบกาย ขับเน้นให้ใบหน้าและบุคลิกที่เดิมก็หล่อเหลาไร้ที่ติยิ่งโดดเด่นสะดุดตาไม่มีผู้ใดเทียม
ซูหลีมองเพียงแวบเดียว หัวใจก็พลันเต้นรัวอย่างไม่อาจควบคุม ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใด เพียงเลื่อนสายตาออกไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ซูหลีรู้ ท่านอ๋องใจเย็นและฉลาดกว่าจิ้งอันอ๋องมาก และซูหลีก็เชื่อว่า ถ้าหากเรื่องนั้นเกิดขึ้นกับท่านอ๋อง ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องต่างกันมากแน่นอน! แต่ว่า…” นางหยุดพูดไปแต่เพียงเท่านี้ นัยน์ตางามดั่งปริศนา มองดูขอบฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอก สายตาก็พลางหมองหม่นตามไปด้วย
นางกลับไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ
ตงฟางเจ๋อนิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แต่ว่าอะไรหรือ?”
แต่นางรู้ดียิ่งกว่าใคร ยิ่งเป็นคนปราดเปรื่อง เมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ต้องเลือกระหว่างอำนาจกับความรู้สึก ความรู้สึกมักเป็นตัวเลือกที่ถูกสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดีเสมอ! วาจาเช่นนี้ นางไม่มีทางกล่าวออกมาแน่นอน เพราะหากกล่าวออกไป ก็มีแต่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างลำบากใจกันเสียเปล่าๆ ตงฟางเจ๋อเป็นถึงท่านอ๋อง ได้รับความไว้วางพระทัยและความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก และเขาก็มีใจคิดแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท เส้นทางในอนาคต ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะมีขวากหนามอะไรขวางอยู่!
กลัวหรือ? ก็คงหวาดกลัวกระมัง! เพราะบางสิ่งบางอย่าง หากไม่เคยร้องขอแต่แรก สุดท้ายแม้ไม่ได้มาครองก็คงไม่ปวดใจและเสียใจ
“หลุมศพของท่านหญิงหมิงอวี้ได้ย้ายเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษของสกุลหลีแล้ว ซูหลีเองก็ควรเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทแล้ว! ขอท่านอ๋องโปรดอภัยที่ซูหลีต้องทูลลาก่อนแล้ว!” เก็บงำความคิด ไม่ถามว่าเขาจะไปด้วยกันหรือไม่ นางหมุนกายเดินลงจากเขาไปอย่างรวดเร็วเพียงลำพัง
ตงฟางเจ๋อยืนนิ่งงันอยู่กับที่ มองดูแผ่นหลังเย็นชาและโดดเดี่ยวของนางค่อยๆ หายลับไปตรงสุดขอบป่า เขาไม่ได้ตามนางไป ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านางไม่ปฏิเสธความใกล้ชิดจากเขา แต่เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้อีกหนึ่งก้าว นางมักตีตนออกห่างเช่นนี้เสมอ!
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเบาๆ วาจาที่นางยังเอ่ยไม่จบนั้นคืออะไรกันแน่?
ตงฟางเจ๋อหรี่ตา ขานเรียกเสียงขรึม “เซิ่งฉิน!”
บนยอดเขาที่เดิมไร้เงาของบุคคลที่สาม บุรุษชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวดั่งภูตผี เขาก้มหน้ารอรับคำสั่งอยู่ตรงหน้าตงฟางเจ๋อ
ตงฟางเจ๋อสายตาแน่นิ่ง ยังคงจ้องมองไปยังทิศทางที่ซูหลีเดินจากไป ขณะกล่าวกำชับด้วยเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใด “ตามนางไป บอกนางว่ายามโหย่ว[1]ของวันนี้ ข้าจะรอนางอยู่ที่ริมแม่น้ำหลานชาง”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เซิ่งฉินรับคำก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากตอนที่เขาปรากฏตัว
ซูหลีคิดว่าตนเองเดินเร็วมากแล้ว แต่นางยังไม่ทันจะได้ขึ้นม้า เซิ่งฉินก็ตามมาทันแล้ว เขาถ่ายทอดวาจาของตงฟางเจ๋ออย่างชัดเจน ไม่รอให้นางตอบ เขาก็หายตัวไปทันที
ซูหลีลอบสงสัยในใจ พวกเขาเพิ่งแยกกันเมื่อครู่ ตงฟางเจ๋อกลับนัดหมายให้ไปเจอกันอีก ซ้ำยังเป็นช่วงค่ำ! น่าแปลกเกินไปหรือไม่?
เมฆครึ้มบนฟ้าเริ่มก่อตัวหนาอยู่บริเวณหนึ่ง ดูอย่างไรก็เหมือนว่าวันนี้จะต้องมีฝนตก ซูหลีไม่คิดอะไรมากอีก รีบพลิกกายขึ้นม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงด้วยความเร็วสูง นางมิได้รีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที แต่มุ่งหน้ากลับไปที่จวนก่อน
หลังจากกันโม่เซียงออกไป ซูหลีครุ่นคิด แล้วหันไปถามหวั่นซิน “อาการของจิ้งอันอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”
หวั่นซินกล่าว “หมอหลวงบอกว่า ท่านอ๋องนอนไม่หลับมาเป็นเวลานาน เครียดสะสม สุขภาพจึงย่ำแย่ ครั้งนี้ร่างกายถูกความเย็นเข้าแทรกจนเป็นไข้ อาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่หากพักฟื้นดีๆ ก็ไม่มีอุปสรรคใหญ่หลวงเจ้าค่ะ”
ซูหลีพยักหน้า ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หลังอาหารมื้อเย็น นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าทำผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็สั่งให้คนเตรียมรถม้าเข้าวัง
เพิ่งจะไปถึงหน้าประตูวัง ด้านนอกก็มีลมกระโชกแรง ตามมาด้วยสายฝนที่เทลงมา
ซูหลีแหวกม่านขึ้น สายลมหนาวพัดเอาเม็ดฝนช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงมาสาดกระทบหน้านางอย่างไม่เกรงใจ นางรีบหดคอเข้าไปข้างใน ฤดูหนาวใกล้มาเยือนแล้ว ฝนนี้แม้ไม่ได้ตกหนักมาก แต่กลับหนาวเย็นจนน่าตกใจ
ในวังมีกฎ รถม้าที่มาจากด้านนอกไม่อาจเข้าไปในพระบรมมหาราชวังได้ ซูหลีทำได้เพียงลงจากรถและเดินเท้าเข้าไปในวัง โม่เซียงกางร่มรอนางเรียบร้อยแล้ว ครั้นทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังเห็นนาง ต่างพากันก้มหน้าและขานเรียกอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าซู!”
ปัจจุบันในพระบรมมหาราชวังแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง อาจมีคนไม่รู้จักอัครเสนาบดีซูเซียงหรู แต่กลับไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนาง ผู้ซึ่งมีตำแหน่งพิเศษเป็นถึงขุนนางหญิงขั้นหนึ่ง!
ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ยังคงก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือส่วนพระองค์ต่อไป ไกลออกไป นางมองเห็นคนผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าหลังตรงอยู่หน้าห้องหนังสือ
สายฝนอันหนาวเหน็บทำให้อาภรณ์ผ้าต่วนและผมดำขลับของเขาเปียกชุ่มไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งสีเลือดฝาด เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น แน่นิ่งไม่ไหวติง
ข้างกายเขา ฮองเฮาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วยืนอยู่ นางมองเขาอย่างเป็นห่วง สั่งให้คนกางร่มให้เขา แต่กลับถูกเขาปัดออก
ซูหลีอึ้งงัน คนผู้นั้น …มิใช่ตงฟางจั๋วหรอกหรือ? เขาเป็นไข้ ยามนี้ควรนอนพักฟื้นอยู่ในจวนจิ้งอันอ๋อง เหตุใดมาคุกเข่าตากฝนอยู่ที่นี่? เห็นฮองเฮามีท่าทางโกรธขึ้งที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า[2][3]ได้ เดาว่าเขาคงทำให้ฮ่องเต้กริ้ว!
ซูหลีลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปถวายบังคมฮองเฮา ฮองเฮาสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก เพียงเหลือบมองนางแวบเดียว แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องมากพิธี” ก่อนจะไม่สนใจนางอีก
ซูหลีหันไปทักทายตงฟางจั๋ว ตงฟางจั๋วสายตาสั่นระริกเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใด ยังคงนั่งคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรง
ประตูห้องหนังสือส่วนพระองค์ปิดสนิท นอกประตูมีฎีกาฉบับหนึ่งถูกทิ้งไว้ อักษรบนฎีกาถูกน้ำฝนชะล้างจนเลือนราง ซูหลีเดินเข้าไปก้มเก็บฎีกาขึ้นมาอ่าน ก็พลันตะลึงค้าง
……………………………………………………………
[1]ยามโหย่ว คือช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มตรง
[2] ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ อุปมาว่า ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้