กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 176 มิสู้ชดใช้ด้วยความตาย? (3)
“…หลีซูเป็นภรรยาของลูก สมควรถูกย้ายเข้ามาฝังในสุสานราชวงศ์ เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้ร่างกายอ่อนแอด้วยอาการป่วย แต่ก็ยังคงคุกเข่าตากฝนอย่างไม่เกรงกลัว เพียงเพื่อนำศพของนางเข้าไปฝังในสุสานราชวงศ์! ต้องทำเช่นนี้ จึงจะถือเป็นการยืนยันให้หลีซูอย่างแท้จริง ฐานะพระชายาในจิ้งอันอ๋องที่ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ ยังจะมีผู้ใดในใต้หล้านี้กล้าสงสัยในความบริสุทธิ์ของนางอีก?
นิ้วมือของซูหลีที่กำฎีกาแน่นเริ่มซีดขาว หันไปมองบุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลัง ใบหน้าคมที่ถูกน้ำฝนชโลมจนเปียกชุ่ม ไม่เหลือความเย่อหยิ่งและความเชื่อมั่นในตนเองดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เหลือไว้แต่ใบหน้าซีดเซียวจนไม่อาจทนมองได้อีก
นางหมุนกายเดินไปหาเขา ข่มกลั้นอารมณ์นับหมื่นนับพันไว้ในใจ กล่าววาจาเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงใจเย็น “จิ้งอันอ๋องจะทรงหาเรื่องลำบากไปไยเพคะ? ท่านหญิงหมิงอวี้เป็นชายาที่ถูกท่านอ๋องหย่าขาดไปแล้ว ถูกย้ายกลับไปฝังในสุสานบรรพบุรุษของสกุลหลีเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ยามนี้นางก็ได้พักผ่อนอย่างสงบแล้ว ไยท่านอ๋องต้องทำให้ดวงวิญญาณของนางมีห่วงอีกเล่าเพคะ?”
ร่างกายของตงฟางจั๋วสั่นสะท้าน คำว่า ‘ชายาที่ถูกหย่า’ เหมือนดั่งมีดที่กรีดแทงหัวใจของเขา เขาเงยหน้ามองนางอย่างยากลำบาก สตรีตรงหน้าสายตาเย็นชาแจ่มชัด แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววเย้ยหยัน เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความรู้สึกปวดใจ “หนังสือหย่าถูกนางฉีกขาดในวันนั้นแล้ว แสดงว่านางไม่ยอมรับการหย่า ในเมื่อไม่ยอมรับ เช่นนั้นนางก็เป็นภรรยาของข้าตงฟางจั๋วไปชั่วชีวิต! สมควรถูกย้ายเข้ามาฝังในสุสานราชวงศ์ รอวันที่จะฝังศพร่วมกับข้า!”
คนเป็นพูดถึงความตาย เดิมก็เป็นเรื่องไม่มงคลอยู่แล้ว โดยเฉพาะฐานะเช่นเขาที่ยังแบกรับความคาดหวังของฮองเฮาเอาไว้ด้วย
ซูหลีสีหน้าพลันเปลี่ยนเล็กน้อย ได้ยินเพียงฮองเฮาตำหนิเสียงเกรี้ยว “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!”
ตงฟางจั๋วรู้ว่าวาจานี้ไม่เหมาะสม จึงหลุบตาต่ำ ทว่ากลับไม่แก้ต่างอะไร ฮองเฮานั่งลงตรงหน้าเขา กล่าววาจาเสียงดังด้วยสีหน้าหนักใจ “จั๋วเอ๋อร์ เจ้ามองหน้าแม่!”
ตงฟางจั๋วจำต้องเงยหน้า เขารู้ว่าเสด็จแม่จะพูดอะไร แต่เขาไม่อยากฟัง ฉะนั้นเขาจึงชิงกล่าวด้วยเสียงเจ็บปวดขึ้นมาก่อน “เสด็จแม่ หลีซูคือภรรยาในดวงใจของลูก! ลูกต้องการให้ศพของนางย้ายเข้ามาฝังในสุสานราชวงศ์ในฐานะภรรยาของลูก ไม่ว่าเสด็จแม่จะกล่าวอย่างไร ลูกก็ไม่มีวันเปลี่ยนความตั้งใจนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกวาจา ทุกประโยค ความมุ่งมั่นในสายตา และความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างที่ฮองเฮาไม่เคยเห็นมาก่อน ได้บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าการกระทำของเขาในวันนี้ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่ผ่านการใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว!
หลังจากพิธีคัดเลือกพระสวามี เขาก็มั่นใจในความคิดนี้แล้ว เพียงแต่เมื่อคดีของหลีซูถูกพลิก เขาก็มัวแต่จมอยู่กับความทุกข์ นึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะมีพระราชโองการเร็วขนาดนี้ เขายังไม่ทันได้สติกลับคืนมาจากความเจ็บปวด หลุมศพของหลีซูก็ถูกย้ายเข้าไปฝังในสุสานบรรพบุรุษของสกุลหลีก่อนเสียแล้ว!
ฮองเฮาลุกขึ้นยืนอย่างผิดหวัง นางเจ็บปวดใจกับความมุ่งมั่นของโอรสตนเอง แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง ทำได้เพียงขมวดคิ้ว และเตือนอย่างจนใจ “เสด็จพ่อของเจ้าไม่มีวันเห็นด้วยแน่นอน!” มีที่ไหนกันที่ฮ่องเต้จะทรงมีพระราชโองการย้ายหลุมฝังศพหลุมเดียวถึงสองหน นั่นมิใช่เป็นการสร้างเรื่องอันเป็นที่ครหาแก่ชาวโลกหรอกหรือ?
ตงฟางจั๋วกล่าว “ลูกรู้ แต่ลูกไม่มีทางยอมแพ้เพราะเหตุผลแค่นี้! หากเสด็จพ่อไม่รับปาก ลูกก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเสด็จพ่อจะรับปาก ลูก…ยอมคุกเข่าอยู่ที่นี่จนตาย!”
“เจ้า!” ฮองเฮาก้มหน้ามองเขาอย่างตกใจ กล่าวตำหนิเขาอย่างปวดใจ “เพื่อผู้หญิงคนเดียว เจ้ากลับ…กลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้! เจ้าจะให้แม่ทำอย่างไรกับเจ้า?” ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวสุดแสน ร่างกายสั่นเทา
ซูหลีทนมองไม่ไหวอีกต่อไป หมายจะอ้าปาก แต่ยามนี้ประตูห้องหนังสือกลับเปิดออกอย่างกะทันหัน
เกากงกงนำรับสั่งของฮ่องเต้มาถ่ายทอดแก่ทั้งสามคนอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทให้มาเชิญทุกท่านเข้าไปข้างในพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางจั๋วนึกว่าฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยแล้ว สีหน้าพลันยินดี หมายจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาเซจนเกือบหกล้ม ซูหลีตาไว รีบเข้าไปประคองเขาไว้ ตงฟางจั๋วมองนางด้วยใบหน้าสับสน
ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ก่อนจะคุกเข่าทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนที่นั่งหน้าโต๊ะทรงอักษร หลุบตามองตงฟางจั๋วที่ตัวเปียกฝนสีหน้าซีดเซียวแวบหนึ่ง สายตาพลันเคร่งขรึม ไม่ได้เอ่ยวาจาใด เพียงเลื่อนสายตาไปมองซูหลี ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ “พิธีย้ายหลุมฝังศพของท่านหญิงหมิงอวี้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาท!” ซูหลีรับคำเสียงเบา โชคดีที่ทางนั้นเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ครั้นโลงศพถูกหามไป ก็สามารถนำลงฝังได้ทันที ต้องบอกก่อนว่าพิธีย้ายหลุมฝังศพไม่ควรทำในวันที่อากาศเป็นเช่นนี้ แต่จนใจที่ฮ่องเต้ต้องการจบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด จึงกำหนดให้ดำเนินการในวันนี้ โชคดีที่อากาศแจ่มใสครึ่งวัน และไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“ในเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว หัวใจของหมิงซีเป็นของผู้ใด สามวันให้หลัง จงเข้ามาให้คำตอบกับข้า”
สามวัน เส้นตายครั้งสุดท้ายแล้ว!
ซูหลีลอบสะดุ้งในใจ ภายนอกกลับค้อมกายรับพระบัญชา
“พวกเจ้าออกไปเถิด” ฮ่องเต้สีหน้าอิดโรย วาจาของเขาบ่งบอกชัดเจน เรื่องของท่านหญิงหมิงอวี้ให้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก
ซูหลีกำลังจะลุกขึ้น กลับได้ยินตงฟางจั๋วกล่าวอย่างแน่วแน่ “เสด็จพ่อยังไม่ตอบรับฎีกาของลูกเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ มองเห็นเพียงสายตาฮ่องเต้พลันเย็นชา สีหน้าโกรธกริ้วอย่างเห็นได้ชัด เขาหรี่ตา กล่าวเสียงขรึม “ข้าคิดมาโดยตลอดว่าเจ้าเป็นคนรู้ความ และเข้าใจความคิดของข้า แต่เหตุใดกับเรื่องนี้จึงดื้อดึงยิ่งนัก? เจ้าจะต้องให้ข้ากลับคำให้กลายเป็นที่ครหาของชาวโลก ถึงจะพอใจใช่หรือไม่?”
พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นเข้มงวด ทุกคนในห้องพลันกลั้นหายใจ
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย เพียงก้มหัวกล่าวเสียงดัง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากมิกล้าก็รีบไสหัวกลับไปยังจวนของเจ้าเสียเดี๋ยวนี้! เรื่องหลีซู จากนี้ไปห้ามกล่าวถึงอีกเป็นอันขาด!”
“เสด็จพ่อ!” เขาเงยหน้าร้องเสียงดัง ยังคงไม่ยอมแพ้
“ข้าบอกแล้ว ห้ามพูดถึงอีกเป็นอันขาด!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเกรี้ยวตัดบท สีหน้าขึ้งเคียดสุดแสน พร้อมระเบิดโทสะได้ทุกเมื่อ หากเขายังกล้าเอ่ยอีกเพียงประโยคเดียว…”
“อย่างไรลูกก็ต้องพูด…”
‘พลั่ก!’
แท่นฝนหมึกขนาดเท่าฝ่ามือพาเอาความโกรธกริ้วของฮ่องเต้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กระแทกหน้าผากตงฟางจั๋วอย่างแรง และตัดบทวาจาที่กำลังจะออกจากปากของเขาด้วย
ซูหลีตะลึงงัน ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงรักและโปรดปรานตงฟางจั๋วมาโดยตลอด ไม่เคยลงโทษเขาหนักๆ เลยสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าจะบันดาลโทสะใหญ่โตกับเรื่องอย่างนี้ ถึงขั้นลงมือทำร้ายคน! ซูหลีอดไม่ได้ที่จะตกใจ เดิมทีนึกว่าฮ่องเต้รักและโปรดปรานโอรสองค์นี้มาก ที่แท้ก็เป็นเพราะแค่ตงฟางจั๋วไม่เคยขัดประสงค์ของเขา! ความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อครอบครัว บอบบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษเสียอีก!
ทุกคนที่อยู่ในห้องหนังสือ ต่างก็สูดหายใจด้วยความตกใจ ซูหลีหันไปดู เห็นตงฟางจั๋วคุกเข่านิ่งๆ อยู่ตรงนั้น อ้าปากค้างอยู่ในท่าเดิม สายตาสะท้อนแววเจ็บปวด เห็นชัดว่านึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะกริ้วถึงเพียงนี้
เลือดสีแดงสดไหลลงจากหน้าผากอาบใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดขาวของเขา ซึมผ่านร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน สุดท้ายก็ไหลเป็นสายอยู่บนพื้น
ฮองเฮาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจแทบกระดอนออกจากทรวงอก นางกุมหน้าอก จ้องเลือดที่ไหลออกจากหน้าผากของโอรสตนเองตาไม่กะพริบ รู้สึกเพียงหน้ามืดตาลาย แทบจะเป็นลม
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะเพคะ!” พยายามข่มกลั้นความตกใจ ฮองเฮารีบก้มศีรษะอ้อนวอน ลนลานหมายจะแก้ตัวแทนเขา แต่ตงฟางจั๋วกลับเงยหน้ามองฮ่องเต้ด้วยสายตาแข็งกร้าว ยังคงกล่าวอย่างแน่วแน่ “เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
………………………………………………