กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 177 นัดหมายยามค่ำคืน (1)
เขาช่าง…ดื้อดึงยิ่งนัก! จู่ๆ ซูหลีก็ไม่รู้ว่าควรเลื่อมใสในความกล้าของเขา หรือควรบอกว่าเขาไม่รู้จักดูกาลเทศะดี!
ครั้นเห็นเส้นเอ็นบนหน้าผากฮ่องเต้ปูดโปน ความโกรธเกรี้ยวที่ยากจะคาดเดาของฮ่องเต้กำลังจะมาถึง ซูหลีตื่นตกใจ รีบก้มศีรษะเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดอย่ากริ้วไปเลยเพคะ!”
ฮ่องเต้กำหมัดแน่น ข่มกลั้นเพลิงโทสะ จ้องนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ามีวาจาใดจะกล่าว?”
ซูหลีไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หมิงซีคิดว่า…เพื่อคนนอกเพียงคนเดียว มิควรปล่อยให้เข้ามาทำลายสายสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างฝ่าบาทกับจิ้งอันอ๋องเพคะ!”
ฮ่องเต้แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา สายตาที่จ้องมองตงฟางจั๋วพลันคมปลาบ ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าว่าในสายตาเขา ยังเห็นข้าเป็นบิดาอยู่อีกหรือ?”
ฮองเฮารีบกล่าว “ฝ่าบาทอย่ากริ้วไปเลยเพคะ! จั๋วเอ๋อร์เขา…เขาเพียงเลอะเลือนไปชั่วครู่ มิได้ตั้งใจจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ที่เขากตัญญูรู้คุณมาโดยตลอด ยกโทษให้เขาสักครั้งเถิดเพคะ! จั๋วเอ๋อร์ จั๋วเอ๋อร์…” ฮองเฮารีบกระตุกชายเสื้อตงฟางจั๋ว พยายามส่งสายตาให้เขายอมรับผิด แต่ตงฟางจั๋วกลับทำเหมือนมองไม่เห็นสัญญาณนั้น และไม่ได้ยินคำเร่งเร้าของนาง ยังคงนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่ยอมขยับ
ดวงตาข้างหนึ่งถูกเลือดอาบจนมองเห็นไม่ชัด ขณะนี้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ในสายตาของตงฟางจั๋ว ล้วนถูกอาบด้วยสีแดงสด คล้ายถูกปกคลุมด้วยสีแดงแห่งอำนาจ เขาคุกเข่าหลังตรงอยู่ที่เดิม หัวใจเยือกเย็นดั่งสายน้ำ ไม่อยากเอ่ยอะไรทั้งสิ้น
บรรยากาศพลันตึงเครียด ราวกับมีบางสิ่งกำลังจะขาดผึงได้ทุกเมื่อ
ครั้นเห็นสีหน้าฝ่าบาทขึ้งเคียดสุดแสน ตงฟางจั๋วก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง เอาแต่เม้มริมฝีปากซีดไว้แน่น ท่าทางเหมือนจะไม่ยอมถอยอย่างแน่นอน ฮองเฮาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา แต่ก็จนใจไร้หนทาง ทำได้เพียงหันไปมองซูหลีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ย้ายหลุมฝังศพกลับไปที่สุสานบรรพบุรุษของสกุลหลี เป็นความปรารถนาของท่านหญิงหมิงอวี้! เมื่อสมปรารถนา ดวงวิญญาณของท่านหญิงหมิงอวี้ที่อยู่บนสวรรค์จะต้องได้พักผ่อนอย่างสงบสุขแน่นอน! พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ทรงมีต่อท่านหญิง ซูหลีขอขอบพระทัยฝ่าบาทแทนท่านหญิงเพคะ! และขอร้องจิ้งอันอ๋องโปรดหยุดแต่เพียงเท่านี้ อย่ารบกวนดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วอีกเลยเพคะ อย่างนี้ก็ถือเป็นการเคารพในความปรารถนาของท่านหญิงหมิงอวี้เช่นกัน! ซูหลี ขอเป็นตัวแทนท่านหญิงหมิงอวี้ ขอบพระทัยในน้ำพระทัยของท่านอ๋อง!”
ค้อมกายอย่างนอบน้อม วาจาของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใด
ตงฟางจั๋วร่างกายสั่นสะท้าน คล้ายไม่อยากเชื่อ เงยหน้ามองนางด้วยสีหน้าเจ็บปวดเศร้าโศกไม่อาจบรรยาย ริมฝีปากสั่นเทา กล่าวถามเสียงเบา “เป็นความต้องการ…ของนางจริงหรือ?”
“จริงเพคะท่านอ๋อง!” ซูหลีตอบอย่างมั่นใจ ฉีกทึ้งความหวังสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในใจเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี สตรีที่แต่งออกเรือนไปแล้ว หลังตายกลับยินดีถูกฝังในสุสานบรรพบุรุษ แต่ไม่ยินดียอมรับฐานะภรรยาของเขา! หลีซู…นางต้องเกลียดชังเขามากมายถึงเพียงไหนกัน?
ความเจ็บปวดพรั่งพรูออกจากหัวใจอย่างไม่อาจควบคุม ตงฟางจั๋วทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ก้มหน้ามองเลือดของตนเองที่ไหลลงพื้น ได้แต่เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
ครั้นฮ่องเต้เห็นสภาพเขา เพลิงโทสะที่เดิมสุมอยู่ในอกก็พลันดับมอด เพียงถอนหายใจเบาๆ ทว่ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามาโดยตลอด วันนี้เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว เจ้ากลับทำลายความหวังของข้า สภาพดูไม่ได้ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก!” เอ่ยจบ ฮ่องเต้ก็สะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น สาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องหนังสือไปอย่างโมโหโกรธา
ฮองเฮาผ่อนลมหายใจ รีบพุ่งตัวเข้ามาหาตงฟางจั๋วอย่างลนลาน ยกมือกุมแผลเขา ตวาดบ่าวรับใช้ที่ยืนอึ้งอยู่ข้างหลังเสียงเกรี้ยว “ยังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงอีก!”
เหล่าขันทีพลันได้สติ รับคำอย่างลนลานและรีบออกไป แต่หมอหลวงยังไม่ทันมาถึง ตงฟางจั๋วก็ดันมือฮองเฮาออก ลุกขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วเดินตรงออกจากห้องไปทันที
“จั๋วเอ๋อร์! จั๋วเอ๋อร์…” ฮองเฮารีบวิ่งตามออกไป สีหน้าแตกตื่น ไม่เหลือเค้าความสง่างามดังเช่นยามปกติ
คงเพราะสัมผัสได้ถึงความลนลานในน้ำเสียง ตงฟางจั๋วชะงักเท้า กล่าวเสียงเรียบเฉยโดยไม่หันกลับมามอง “บาดแผลเพียงเล็กน้อย เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องห่วง! ลูก…ดูแลตนเองได้!” เอ่ยจบก็เดินฝ่าฝนออกไป สายฝนในฤดูใบไม้ร่วงหนาวเหน็บจนถึงกระดูก แต่เขากลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ฮองเฮารู้ว่าเขาเป็นไข้มาก่อน ยามนี้จะสามารถวางใจง่ายๆ ได้เช่นไร อดไม่ได้ที่จะหันไปจับมือซูหลี กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ท่านหญิงหมิงซี เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขาที…มีเพียงวาจาของเจ้าที่เขาจะยอมฟัง!”
มารดาแห่งแผ่นดินที่ในยามปกติสง่างามสูงส่ง กลับมีช่วงเวลาที่ลนลานทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้ด้วย! ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย หากพูดกันตามจริง แม้ว่าฮองเฮาจะเสแสร้ง หรือโหดร้ายอีกแค่ไหน นางก็ยังเป็นแค่แม่คน!
ซูหลีถอนหายใจ พยักหน้าเบาๆ “ฮองเฮาวางพระทัยเถิดเพคะ!” นางเองก็ไม่อยากให้ตงฟางจั๋วเป็นอะไรไปเพราะนางเหมือนกัน
ฮองเฮาตบหลังมือนางอย่างซาบซึ้ง สั่งคนให้รีบเตรียมรถม้า ไม่นานรถม้าก็ตามตงฟางจั๋วที่เดินตากฝนอยู่จนทัน ซูหลีแหวกม่านขึ้น แล้วขานเรียก “จิ้งอันอ๋องเพคะ!”
ตงฟางจั๋วยังคงเดินต่อไปราวกับไม่ได้ยิน ซูหลีถอนหายใจ ทำได้เพียงกระโดดลงจากรถม้า ถือร่มกางไว้เหนือศีรษะเขา เขาสาวเท้าเร็วมาก นางเดินตามไม่ทัน ไม่นานก็ถูกฝนสาดจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว
ซูหลีขมวดคิ้ว กระชากแขนของเขา เอ่ยอย่างโมโห “จิ้งอันอ๋อง! ท่านกำลังทำอะไรอยู่? ท่านคิดว่าลงโทษตนเอง แล้วจะได้รับการให้อภัยจากหลีซูอย่างนั้นหรือ? หรือท่านคิดว่า…หากทำเช่นนี้แล้วท่านจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง?”
ฝีเท้าของชายหนุ่มพลันชะงัก เลือดสีแดงสดบนใบหน้าถูกสายฝนชะล้างออกไปแล้ว เผยให้เห็นดวงหน้าคมเข้มที่ซีดขาวไปทั้งดวง เขาหันมามองนาง ความเจ็บปวดสะท้อนในดวงตาอย่างไม่อาจปกปิด
ซูหลีกล่าว “ถ้าหากทำเช่นนี้แล้วท่านรู้สึกดีขึ้นจริงๆ” นางหันขวับไปอีกทาง ดึงกระบี่ยาวของทหารที่อยู่ข้างกายออกมา แล้วยื่นให้เขาพร้อมกล่าวเสียงเย็นชา “มิสู้ชดใช้ด้วยความตายไปเลยเล่าเพคะ!”
ดวงตาอันแสนเย็นชา ราวกับคนผู้นั้นกลับมาเกิดอีกครั้ง ตงฟางจั๋วจ้องนางอย่างอึ้งงัน ละโมบในความรู้สึกอันคุ้นเคยเช่นนี้!
ผู้คนรอบกายล้วนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะทหารที่ถูกนางแย่งกระบี่ไป ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ไม่อยากเชื่อว่านางจะกล้าบอกให้จิ้งอันอ๋องปลิดชีพตนเอง!
“คุณ คุณหนูเจ้าคะ…” โม่เซียงถึงกับพูดติดอ่าง
ซูหลียกมือห้ามไม่ให้นางพูด
ตงฟางจั๋วจ้องนางด้วยสายตาแน่นิ่ง ความเจ็บปวดยิ่งสะท้อนชัดในดวงตา ถามอย่างเหม่อลอย “นี่ก็เป็นความต้องการของนางด้วยหรือ?”
สีหน้าจริงจังไม่มีที่เปรียบ ราวกับว่าขอเพียงนางบอกว่านี่คือความต้องการของหลีซู เขาก็จะยอมทำตามอย่างเต็มใจทันที
ซูหลีพลิกมือส่งกระบี่คืนทหารนายนั้นทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแข็งกร้าวและโหดร้าย “ถ้าหากต้องการหนี ความตายคือการหลุดพ้นที่ดีที่สุด! แต่ขอบอกท่านไว้เลย ตงฟางจั๋ว แม้ท่านตาย ก็ไม่มีทางได้พบนาง! เพราะไม่ว่าบนผืนฟ้าหรือใต้พสุธา นางก็ไม่อยากมีความเกี่ยวข้องใดกับท่านอีกต่อไปแล้ว!”
ตงฟางจั๋วหัวเราะเสียงเบาอย่างโศกเศร้า “เจ้าช่างเป็นสตรีเลือดเย็นยิ่งนัก!”
ซูหลียิ้มเย็น “หม่อมฉันหรือเพคะเลือดเย็น? เทียบกับทุกอย่างที่จิ้งอันอ๋องเคยกระทำกับหลีซูในอดีต วาจาเพียงไม่กี่ประโยคนี้ของหม่อมฉัน ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนของท่านอ๋องด้วยซ้ำ! ท่านจะอยู่หรือจะตายก็แล้วแต่ท่าน ไม่มีผู้ใดจดจำว่าท่านตายเพราะอะไร! ท่านหญิงหมิงอวี้ยิ่งไม่มีทางให้อภัยท่านเพียงเพราะท่านตายแน่นอน!” เอ่ยจบนางก็หมุนกายเดินจากไป ไม่อยากเห็นใบหน้าโศกเศร้าไร้วิญญาณของเขาอีก ในใจพลันเจ็บแปลบเล็กน้อย ซูหลีกำหมัดแน่น สูดหายใจลึกๆ ไม่! เจ้าคือซูหลี เจ้าไม่มีทางปวดใจเพราะบุรุษผู้นี้อีกเป็นอันขาด!
……………………………………………………