กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 178 นัดหมายยามค่ำคืน (2)
นางเชิดหน้าก้าวขึ้นรถม้า กำชับคนขับให้ออกตัว ไม่หันกลับไปมองอีก
“ช้าก่อน!” ตงฟางจั๋วกระโดดขึ้นรถม้า จ้องหน้านางเขม็ง ใบหน้าปรากฏแววโกรธกริ้วเล็กน้อย
ซูหลีถลึงตาจ้องเขากลับ “หม่อมฉันจะไปแล้ว ท่านอ๋องลงไปเถิดเพคะ!”
นัยน์ตาเขาหม่นหมอง ทว่ากลับไม่ขยับตัว ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งรถม้าออกจากพระราชวัง ซูหลีอยากเปลี่ยนกลับไปนั่งรถม้าของตนเอง แต่เพิ่งจะลุกขึ้นก็ถูกเขารั้งแขนไว้ก่อน
“ไปที่หนึ่งกับข้าก่อน!” ดวงตาอันเจ็บปวดของเขาสะท้อนแววอ้อนวอน และความรู้สึกด้อยค่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซูหลีชะงัก อยากปฏิเสธ แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาว และดวงตากระสับกระส่ายระคนวิตกกังวลของเขา คำปฏิเสธอันแน่วแน่ก็ถูกกลืนลงคอไป นางกลับไปนั่งดังเดิม นึกหงุดหงิดที่ตนเองใจร้ายกับเขาไม่ลง ตงฟางจั๋วพลันดีใจ หันไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอก “ไปสวนอีหยวน”
สวนอีหยวนเป็นสถานที่แบบใด ซูหลีอยากถาม ทว่ากลับอดกลั้นไว้ ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน รถม้าวิ่งด้วยความเร็ว ผ่านไปไม่นานก็ถึงที่หมาย ตงฟางจั๋วประคองนางลงจากรถ ซูหลีพลันอึังค้าง
สวนขนาดใหญ่ที่มีสภาพแวดล้อมกึ่งปิดแห่งนั้น อยู่ติดกับสวนด้านหลังของจวนจิ้งอันอ๋อง ไม่รู้ว่าก่อสร้างด้วยวิธีใด ถึงสามารถกั้นความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงไว้ในโลกภายนอกได้!
นางเดินเข้าไปในประตูสวนเหมือนเดินเข้าไปในโลกอีกใบ อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ บุปผาบานไม่ร่วงโรย ดอกไม้สดใหม่เหล่านั้นแม้แต่นางก็ยังไม่รู้จัก เบ่งบานงดงามรายล้อมทางเดินที่ทอดสู่ศาลา พาให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลบุปผา
ซูหลีเดินลึกเข้าไปในสวนอย่างไม่รู้ตัว ที่นี่ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก! ตลอดเส้นทางที่นางเดินมา เหมือนเดินผ่านทิวทัศน์สี่ฤดู ไม่เคยคาดคิดว่าดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูที่แตกต่างกันสามารถเบ่งบานพร้อมกันเช่นนี้ได้
ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่ลึกที่สุดของสวนอีหยวนแล้ว นางพลันเบิกตากว้าง ยืนนิ่งด้วยความตะลึงงัน
ทิวทัศน์ตรงนั้น…ไม่ได้มีดอกไม้หลากสีสันอันงดงามตระการตา ทว่ากลับทำให้นางตื่นตะลึง ความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ร่วงที่ปกคลุมกายนาง พลันจางหายไปในพริบตา
ไกลออกไปจนสุดสายตา ต้นหลีนับพัน ออกดอกหลีนับหมื่น กลีบดอกไม้ร่วงโรยดั่งสายฝน ทำให้พื้นที่ว่างตรงนั้นอาบย้อมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์ที่สามารถชำระล้างจิตใจคน นั่นเป็นสีที่นางโปรดปรานมากที่สุด! สตรีในโลกนี้ บ้างก็ชอบความเพริศพริ้งของดอกโบตั๋น บ้างก็ชอบความเย่อหยิ่งของดอกเหมย นางกลับชมชอบความสดชื่น สง่างาม และความเรียบง่ายไม่เป็นที่สะดุดตาของดอกหลี เพียงแต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาในการเบ่งบานนั้นสั้นเกินไป
ยืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี นางแหงนหน้ามองดอกไม้ที่บานเต็มต้น หัวใจพลันสับสน คล้ายย้อนกลับไปในอดีต ในสวนดอกหลีของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง สถานที่ที่นางพบเขาเป็นครั้งแรก…
ณ ทางเข้าสวนดอกหลี ชายหนุ่มผู้มีคิ้วกระบี่และดวงตาดั่งดวงดารา ย่างก้าวมั่นคง สวมอาภรณ์ผ้าต่วนหรูหรายืนอยู่ใต้แสงตะวัน ประกายสดใสเจิดจ้าแผ่กำจายรอบกาย ขับเน้นให้บุคลิกเขายิ่งองอาจผึ่งผาย โดดเด่นเหนือผู้ใด นางรู้ตั้งแต่แรกเห็นว่าเขาก็คือจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋ว ที่ท่านพ่อบอกว่าฝ่าบาททรงรักและโปรดปรานเป็นพิเศษ!
ได้ยินว่าเขามักตีหน้าขรึม ไม่ชอบยิ้ม แต่ครั้งแรกที่เขาพบนาง ในดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายยินดี กลีบปากยกยิ้ม สีหน้าอบอุ่นจนไม่เหมือนจิ้งอันอ๋องที่คนอื่นล่ำลือกัน!
วินาทีนั้นหัวใจนางพลันสั่นไหว หมายจะหลบตา เขากลับเดินลัดเลาะตามทางเดินเส้นเล็กที่รายล้อมไปด้วยดอกหลี มาหานาง! มองนางอย่างไม่ละสายตา สายตาร้อนรุ่มบีบคั้นผู้คน ราวกับต้องการหลอมละลายนางด้วยสายตาคู่นั้น…ยามนั้นนางอึ้งงันไปเล็กน้อย ในขณะที่นางอึ้งอยู่นั้น เขาเด็ดดอกหลีดอกหนึ่งมาเสียบในเรือนผมนางเบาๆ เดิมทีนางควรหลีกเลี่ยงสัมผัสที่คลุมเครือเช่นนั้น แต่สายตาอบอุ่นแฝงความรู้สึกของเขาราวกับกำลังบอกว่า เขาพบภรรยาที่ใฝ่ฝันและไขว่คว้าตามหามานานแล้ว!
และโดยไม่สนว่านางจะตอบรับหรือไม่ เขาเอ่ยคำสาบานสามภพสามชาติออกมาอย่างง่ายดาย จนถึงตอนนี้นางยังจำสีหน้าของเขาในตอนนั้นได้ เหมือนค้นพบสมบัติล้ำค่าในชีวิต ทั้งยินดีและตื่นเต้นสุดแสน
จากนั้นเขาก็เอ่ยกับนางว่า ‘เจ้าชอบสิ่งใด? ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าหนึ่งอย่าง!’
นางมิใช่คนที่จะรับของขวัญจากผู้อื่นส่งเดช ฉะนั้นจึงตอบกลับไปว่า ‘ขอบพระทัยในน้ำพระทัยของท่านอ๋องเพคะ! สิ่งที่หลีซูต้องการ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดในโลกนี้สามารถให้ได้เพคะ!’
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็หัวเราะเสียงกังวานสดใส แทบจะดังก้องไปทั่วจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง กระทั่งลอยทะลุชั้นเมฆ เขามองนางแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ ‘เป็นไปไม่ได้! ใต้ฟ้านี้ ยังไม่มีสิ่งใดที่ข้าหามาไม่ได้! เจ้าเพียงบอกข้ามาเท่านั้น!’
เขาในยามนั้น ทั้งทะนงตนและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราศีสุกสกาวแผ่กำจายอยู่รอบกาย
นางแย้มยิ้ม ‘ดอกหลี ดอกหลีที่เบ่งบานไม่โรยราตลอดสี่ฤดูกาลเพคะ!” เอ่ยจบก็หมุนกายเดินจากไป ทิ้งบุรุษที่ยืนอึ้งงันไว้ข้างหลัง ครั้นเดินมาจนสุดทางเดินที่รายล้อมไปด้วยต้นหลี นางก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เห็นเพียงเขาขมวดคิ้วมุ่น ทว่ากลับไร้วี่แววโกรธขึ้งที่ถูกคนเย้าแหย่ เพียงนิ่วหน้าครุ่นคิด คล้ายกำลังพึมพำเสียงเบา “จะทำเช่นไรให้ดอกหลีเบ่งบานไม่โรยราตลอดสี่ฤดู…’
ความทรงจำมักเหมือนมีดเล่มหนึ่งที่ปักอยู่กลางอกของคนเรา ทุกครั้งที่รื้อฟื้นมักเจ็บปวดจนยากทานทน ซูหลีหลับตาแน่น ถ้าหากไม่มีการลอบวางแผนทำร้ายนางในครั้งนั้น ถ้าหากในยามนั้นเขาใจเย็นและใช้สติมากกว่านั้นสักนิด บางทีนางและเขาอาจกลายเป็นบุพเพสันนิวาสของกันและกันไปแล้ว!
ทว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก สิ่งที่สมควรเกิดและไม่สมควรเกิด ล้วนเกิดขึ้นไปแล้ว หันกลับไปมองบุรุษที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าว เขายืนอยู่ในศาลาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว สีหน้าซีดขาว ร่างกายซูบผอม ไม่อาจกลับไปเป็นเด็กหนุ่มสดใสเหมือนในความทรงจำครั้งแรกของนางอีกแล้ว!
“ท่านอ๋องให้หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อชมทิวทัศน์เหล่านี้หรือเพคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดที่ป่วนพล่านอยู่ในใจถูกสะกดกลั้นเอาไว้อย่างมิดชิด
ตงฟางจั๋วพลันได้สติ เมื่อครู่มีอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขามองดูสตรีผู้มีบุคลิกเย็นชายืนอยู่ใต้ต้นดอกหลี แล้วรู้สึกเหมือนหลีซูกลับมาแล้ว! ที่แท้ก็เป็นเพียงภาพลวงตาหรอกหรือ?
เขาหลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง สายตาอันเจ็บปวดกวาดมองดวงหน้านาง “นี่คือของขวัญที่ข้าสัญญาว่าจะมอบให้นาง น่าเสียดาย…ที่ไม่มีโอกาสมอบให้นางอีกต่อไปแล้ว! ข้าอยากยืมดวงตาของเจ้า ช่วยมองดูทิวทัศน์เหล่านี้แทนนางที วันไหนหากนางมาเข้าฝัน ช่วยบอกนางสักครั้ง ถึงแม้ข้ากระทำผิดต่อนางอย่างมหันต์ แต่หัวใจที่มีต่อนางกลับมิเคยแปรเปลี่ยน คำสัญญาสามภพสามชาติ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนผันเช่นกัน!”
น้ำเสียงอันเศร้าโศก สายตาอันเจ็บปวด แฝงไว้ด้วยความสิ้นหวังพาให้ใจสั่น ดอกหลีสีขาวบริสุทธิ์ถูกความเศร้าแผ่ปกคลุมไปทั้งสวน
ซูหลีเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกรงว่าท่านอ๋องคงเสียแรงเปล่า…ท่านหญิงหมิงอวี้ลบล้างมลทินให้ตนเองได้แล้ว ไม่มีทางมาเข้าฝันซูหลีอีกแล้วเพคะ!”
แววตาตงฟางจั๋วเจ็บปวด เขารู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้! ไข่มุกฝูอวิ๋นเส้นนั้นก็เช่นกัน…ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจเขารวดร้าวสุดแสน พลันกระแอมไออย่างแรง เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากปาก อาการวิงเวียนที่พยายามข่มกลั้นมาโดยตลอด ยามนี้พลันจู่โจมรุนแรงจนแทบจะช่วงชิงสติสัมปชัญญะของเขาไปจนสิ้น เขารีบยกมือยันเสาศาลาเอาไว้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ไออย่างต่อเนื่องไม่หยุด ร่างกายสูงใหญ่ค่อมงอ ดูคล้ายแก่ชราขึ้นในพริบตา
ซูหลีตื่นตกใจ รีบหมุนกายเดินเข้าไปประคองเขา แล้วกล่าว “ท่านอ๋องเดิมก็มีไข้อยู่แล้ว ยังมาตากฝนอีก รีบกลับจวนไปพักผ่อนเถิดเพคะ! ทหาร…” นางเพิ่งจะหันไปขานเรียกทหารที่อยู่ด้านนอก ก็ถูกตงฟางจั๋วห้ามไว้ เขาจับมือนางแน่น ร่างกายค่อยๆ ไถลลงไปนั่งกับพื้นเพราะอ่อนแรง
ซูหลีถูกเขารั้งให้ลงไปนั่งบนพื้นด้วยกัน มองดูสายตาที่เลื่อนลอยไม่แจ่มชัดของเขา นางขมวดคิ้วแน่น ได้ยินเพียงเขาเอ่ยเสียงเบา “อย่าเรียกใครมา! ร่างกายข้าแข็งแรงยิ่ง ไม่เคยป่วยเลยแม้สักครั้ง…เจ้า อยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าอีกสักพักเถิด!” เอ่ยจบ เขาก็พิงศีรษะกับเสา แล้วหลับตาลง สติสัมปชัญญะทั้งหมดพลันจมดิ่งสู่ห้วงหลับใหลทันที
…………………………………………………..